กรุงไทยพานิช ตั้งเป้า 5 ปี เบี้ยประกันหมื่นล้าน โตปีละ 15% เล็งดีล M&A

กรุงไทยพานิชประกันภัย ปี 2566 ตั้งเป้าเบี้ยประกัน 5,526 ล้านบาท โต 15% คาดภายใน 5 ปีโตสู่ระดับ 10,000 ล้านบาท หรือโตปีละ 15% ขึ้นแท่นท็อป 10 เล็งดีล M&A 

 

วันที่ 3 มีนาคม 2566 ดร.พงษ์ภาณุ ดำรงศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ KPI บริษัทประกันวินาศภัยสัญชาติไทยอายุมากว่า 70 ปี เปิดเผยว่า ในปี 2565 มีเบี้ยประกันรับรวมที่ 4,885 ล้านบาท เติบโต 7.59% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน

มาจากเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 48.99% ประกันรถยนต์ 40.23% ประกันอัคคีภัย 10.46% และประกันภัยทางทะเล 0.32% โดยมีกำไรสุทธิ 758 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 14,886 ล้านบาท

จากภาพรวมเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว บริษัทมั่นใจว่าธุรกิจต่าง ๆ จะมีโอกาสที่จะปรับตัวและขยายตัวเติบโตตามเศรษฐกิจ ทำให้กำลังซื้อของภาคประชาชนเพิ่มสูงขึ้น โดยปี 2566 บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 5,526 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อน

โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาฐานการเติบโตของเบี้ยประกันภัยอย่างต่อเนื่องปีละ 15% ซึ่งจะทำให้ในอีก ปีข้างหน้า หรือในปี 2570 บริษัทคาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตสู่ระดับ 10,000 ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็น ใน 10 บริษัทแรกของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งตามแผนงานจะมีการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) อยู่ด้วย

ดร.พงษ์ภาณุ กล่าวต่อว่า บริษัทได้วางแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้ ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัท Serving Friendly Insurance Servicesมุ่งส่งมอบบริการประกันภัยที่เป็นมิตร 

โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานอย่างมีความใส่ใจต่อทุกภาคส่วน ทั้งต่อลูกค้า ผู้บริโภค (Customers / Consumers) ต่อพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partners) พนักงานและครอบครัว (Staff & Families) ต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม (Community, Society, and Environment)

ด้วยวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจดังกล่าวที่จะทำให้บริษัทก้าวสู่ความสำเร็จและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันได้

โดยเฉพาะในธุรกิจประกันภัยที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความต้องการหลากหลายขึ้น

และต้องมีการวางแผนนโยบายด้านการตลาดต่าง ๆ การร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ ตัวแทน นายหน้า เพื่อพัฒนาโมเดลธุรกิจให้เหมาะสม สู่การออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย

และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การบริหารเวลาและช่วยลดต้นทุนการทำงาน ผ่านโมเดลธุรกิจทั้งแบบ Offline to Online เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตสำหรับลูกค้า ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย

“ปีนี้ถือเป็นปีที่มีความท้าทาย แต่เราก็ยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยอีกมาก เราจึงพร้อมเดินหน้าดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งมอบบริการประกันภัยที่เป็นมิตรให้กับทุกคน” ดร.พงษ์ภาณุ กล่าว