“ยูโอบี” ฝ่าปัจจัยเสี่ยงตั้งเป้าบริหารสินทรัพย์โต 10%

ยูโอบี

บลจ.ยูโอบีวางกลยุทธ์ลงทุนฝ่าสารพัดปัจจัยเสี่ยง-เศรษฐกิจโลกโตชะลอ ตั้งเป้า AUM ปีนี้โต 10% แตะ 2.5 แสนล้านบาท ลุ้นเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย จากเอฟเฟ็กต์แบงก์ล้มในสหรัฐ ลุยเพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ ชี้โอกาสทยอยเข้าสะสมหุ้นไทย หลังหลุด 1,600 จุด

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด (UOBAM) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ค่อนข้างเหนื่อยของทุก บลจ. เพราะทุกการลงทุนต่างมีผลตอบแทนที่ติดลบ ทำให้โตไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่ บลจ.ยูโอบีถือว่ายังมีความสามารถในการประคองให้องค์กรเติบโตใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นปี 2565 สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ระดับ 2.2 แสนล้านบาท

วนา พูลผล-ยูโอบี

สำหรับกองทุนรวมมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.18 แสนล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 6.2 หมื่นล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคล 4.4 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคลเป็นกลุ่มที่เติบโตได้ดีที่สุด และยังได้รับความไว้วางใจจากสถาบันชั้นนำของประเทศในการต่อสัญญาให้ดูแลอย่างต่อเนื่อง

ส่วนในปี 2566 นี้คาดว่าจะเป็นปีที่ดีขึ้น แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เพราะยังมองเห็นถึงปัจจัยความเสี่ยงที่ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นการเติบโตน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดประมาณ 10% ซึ่งก็เป็นเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้สำหรับในปีนี้ ปัจจุบัน AUM ของ บลจ.ยูโอบีอยู่ที่ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท หากโตตามเป้าที่ 10% จะทำให้ AUM สิ้นปี 2566 ขยับขึ้นไปที่ 2.5 แสนล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นมาประมาณ 2.3-2.5 หมื่นล้านบาทจากปี 2565 ทั้งนี้ แผนการดำเนินธุรกิจปีนี้ ตั้งเป้าเป็น “most trusted investment partner” เป็นพาร์ตเนอร์ผู้ให้คำแนะนำการลงทุนให้กับทุกคนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด

“ปีนี้สิ่งที่คาดว่าจะทำได้เพิ่มคือ การขายกองทุนผ่านทางตัวแทนจำหน่ายประกันภัย รวมถึงให้ความสำคัญการลงทุนด้านยูนิตลิงก์ (unit linked) ซึ่งจะเห็นว่าบางเจ้าที่ทำแล้วค่อนข้างเติบโตได้ดี ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายย่อย สถาบันและลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (high net worth) ที่ผ่านมา มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีและสร้างผลตอบแทนได้น่าพอใจมาอย่างต่อเนื่อง และปีนี้เตรียมที่จะพัฒนา LINE Official Account (LINE OA) ซึ่งจะทำให้การเชื่อมต่อกับลูกค้าง่ายมากขึ้น”

นายวนากล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีนี้ยังมีความเสี่ยง ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ดำเนินอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานในยุโรป ขณะที่เศรษฐกิจโลกปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงจาก 3.4% ในปี 2565 เหลือ 2.9% โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงมีนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น และมีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปที่ 5%

โดย บลจ.ยูโอบี ยังคงเน้นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนในปีนี้จะมีโอกาสได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนจากการลดลงของราคาตราสารหนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่ธนาคารใหญ่ในสหรัฐปิดตัวลง อาจส่งผลให้เฟดมีโอกาสจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อตราสารหนี้ให้น่าสนใจมากขึ้น

“คาดว่าการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐ จะชะลอตัวลงเช่นเดียวกับในยุโรป ขณะที่ภูมิภาคเอเชียจะมีแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้น ด้วยอานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีนและสายการผลิต (supply chain) เริ่มปรับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ดี การลงทุนยังคงมีความเสี่ยง แนะนำจัดพอร์ตกระจายการลงทุน ไม่กระจุกตัว และสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความยืดหยุ่น จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ได้” นายวนากล่าว

ทั้งนี้ บลจ.ยูโอบีแนะนำแบ่งสัดส่วนการลงทุนในหุ้น โดยสามารถทยอยลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ยังมีการเติบโต โดยตลาดหุ้นสหรัฐและหุ้นยุโรป ยังคงต้องรอดูภาพเศรษฐกิจถดถอย และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน ซึ่งจังหวะที่เหมาะสม คือช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยแนะนำให้ลงทุนในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งจะกลับมาปรับตัวดีขึ้นได้ในปีนี้ สามารถทยอยลงทุนได้ตลอดทั้งปี

“ส่วนหุ้นไทยทยอยสะสมได้ โดยมองเป้าดัชนีปีนี้ที่ 1,700 จุด ซึ่งในระดับดัชนีปัจจุบันที่ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 1,600 จุด เป็นระดับที่มองว่าสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมได้ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ เช่น กลุ่มการบริโภค กลุ่มโรงแรมและโรงพยาบาล รวมถึงกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เป็นต้น” นายวนากล่าว