กสิกรไทย-นักเศรษฐศาสตร์ มองจีนเปิดประเทศ กระทบไทย 4 ด้าน

สัมนา กสิกรไทย

กสิกรไทยประสานเสียงกูรู คาด “จีน” ผงาดจากเสถียรภาพทางการเมือง-นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน จับตา 4 ปัจจัยต่อเศรษฐกิจไทย “นักท่องเที่ยว-นำเข้าและส่งออก-การลงทุน” คาดชาวจีนเดินทางเข้าไทยกว่า 4.65 ล้านคน ดันยอดส่งออกแตะ 3.43 หมื่นล้านดอลลาร์ ฟากสหรัฐและยุโรป เผชิญวิกฤตธนาคาร ส่อสะเทือนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

วันที่ 22 มีนาคม 2566 ธนาคารกสิกรไทย ได้จัดงานสัมมนา “THE WISDOM Investment Forum : China Insight Unlock Wealth Opportunity in 2023” โดยเชิญนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการลงทุน ร่วมวิเคราะห์สัญญาณเศรษฐกิจทั่วโลกจากเหตุวิกฤตธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) จนลามมาสู่ธนาคารเครดิต สวิส (Credit Suisse) สะเทือนเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ และยุโรป

ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนพุ่งสูงขึ้นถึง 5% ด้วยปัจจัยหลักจากความชัดเจนของทั้งนโยบายการเมืองและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่พร้อมรับการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ส่งผลดีกับเศรษฐกิจไทยด้านการท่องเที่ยว

คาดว่าในปีนี้ไทยจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนกว่า 4.65 ล้านคนเดินทางเข้ามาไทย พร้อมดันยอดส่งออกในฐานะประเทศคู่ค้าอันดับสองรองจากสหรัฐ ด้วยมูลค่ารวมกว่า 34,389 ล้านดอลลาร์ แนะจับตาโอกาสลงทุนใน 3 อุตสาหกรรมหลักที่จีนกำลังให้ความสำคัญ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีชั้นสูง (Deep Tech) กลุ่มอีคอมเมิร์ซ และกลุ่มอุปโภคบริโภค

ดร.พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เวลานี้แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความคลุมเครือและความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะวิกฤตการเงิน จากเหตุการณ์ของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) รวมถึงปัญหาธนาคารเครดิต สวิส (Credit Suisse) สะท้อนได้ว่าไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาภูมิภาคเดียวที่เจอปัญหาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ แต่ยุโรปก็กำลังเผชิญกับปัญหาเช่นกัน

สำหรับผลกระทบจะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับแนวทางการจัดการของรัฐบาล และธนาคารกลาง-ว่าจะสามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับมาได้รวดเร็วแค่ไหน แต่สำหรับสถานการณ์ของอีกฟากหนึ่งอย่าง “จีน” บรรยากาศกลับสวนทาง โดยเฉพาะหลังการประชุม 2 สภา จะยิ่งเห็นถึงความชัดเจนของทั้งนโยบายการเมือง ความพร้อมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนการเริ่มเปิดประเทศของจีน เชื่อว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วย

จีนเปิดเมือง ! จับตา 4 ปัจจัยส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย

10.99 ล้านคน คือ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยในปี 2562 (ก่อนโควิด)
71,014 ล้านดอลลาร์ คือ มูลค่านำเข้าสินค้าจากจีนในปี 2565
34,389 ล้านดอลลาร์ คือ มูลค่าส่งออกสินค้าจากไทยไปจีนในปี 2565
77,381 ล้านบาท คือ มูลค่าการลงทุนของ 158 โครงการที่ภาคธุรกิจจีนยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2565

ประเมินเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางวิกฤต

วิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเวลานี้ ยังเป็นประเด็นที่สำคัญให้ต้องติดตาม ดร.ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เชื่อว่า แม้ในระยะสั้นตลาดจะสงบลงได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ เพราะระบบการเงินเป็นเหมือนเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจโดยรวม มีโอกาสเป็นไปได้ว่า ถ้าเกิดวิกฤตการเงินอาจจะไปฉุดเศรษฐกิจจีนได้เช่นกัน

ทว่า จีนมีความพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ที่ 5% ซึ่งถือเป็นการตั้งตัวเลขไว้ต่ำเพื่อเอาชนะเป้าหมาย จึงมองว่ามีโอกาสที่เงินลงทุนทั่วโลกจะเข้ามาลงทุนในจีนและฝั่งเอเชียมากขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจไทย หากมองในแง่คู่ค้า ไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกามากกว่าจีน ถ้าเกิดปัญหาฝั่งสหรัฐอเมริกาย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยแน่นอน แต่ในเชิงการท่องเที่ยว ไทยได้นักท่องเที่ยวจากจีนมากกว่า ซึ่งถ้าดูจากประมาณการคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนกลับมาในปีนี้ประมาณ 4.65 ล้านคน จึงเชื่อว่าจะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น

แม้เศรษฐกิจโลกจะมีความเสี่ยงฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งทั้งด้านทุนสำรอง ความเข้มแข็งของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีปัญหาด้านหนี้ภาคครัวเรือนที่สูง แต่โดยรวมแล้วเชื่อว่า ถ้าไม่มีอุบัติเหตุวิกฤตการเงินโลกที่รุนแรง เศรษฐกิจไทยปีนี้จะยังคงเดินหน้าไปต่อได้

การเมืองและนโยบายเศรษฐกิจสร้างโอกาสลงทุนในจีน

ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงมุมมองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ของคนจีนกับต่างชาติมักแตกต่างกัน อย่างเรื่องผู้นำชุดใหม่ ต่างชาติมองว่า การที่นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง เป็นคนใกล้ชิดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะทำให้ไม่มีใครกล้าเห็นต่าง แต่คนจีนกลับมองเป็นภาพบวก การเป็นทีมเดียวกัน นำไปสู่ความสามัคคีและยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน

ส่วนเป้า GDP 5% ที่จีนประกาศออกมานั้น ได้คิดรวมความเสี่ยงของปัจจัยภายนอกที่มีความไม่แน่นอนด้วยแล้ว ฉะนั้นถามว่าวิกฤตการเงินฝรั่งจะลามมาเป็นวิกฤตการเงินจีนหรือไม่ คงไม่เกิดผลกระทบตรงนี้ เพราะระบบการเงินของจีนค่อนข้างปิด รัฐบาลคุมหนักในเรื่องดังกล่าว แต่ถ้าในแง่เศรษฐกิจโลกที่ไม่ดีอาจฉุดเศรษฐกิจจีนได้ เพราะจีนเป็นเศรษฐกิจการส่งออก ถือได้ว่าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก

ด้านความเห็นของคุณภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เวลานี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศของจีนเริ่มฟื้นกลับมาเป็นปกติ โดยเชื่อว่าปี 2023 จะเป็นปีที่ดีที่สุดของประเทศจีน เพราะตลอดช่วง 3 ปีของการเกิดโควิด-19 คนจีนไม่ได้มีการเดินทาง ทำแต่งานเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้มีเงินออมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และเงินก้อนนี้เองที่เตรียมพร้อมจะนำออกมาลงทุน หรือนำออกมาใช้หลังจากที่เปิดประเทศแล้ว

สำหรับโอกาสที่น่าสนใจในการลงทุนมองว่า จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ล้อไปกับการส่งเสริมและสนับสนุนของรัฐบาลจีน เช่น กลุ่ม Deep Tech หรือเทคโนโลยีขั้นสูง เนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อใช้ในการแข่งขันกับโลกตะวันตก

เช่นเดียวกับคุณทิวา ชินธาดาพงศ์ นักลงทุนไทย ซึ่งมองการลงทุนในจีนว่าเป็นโอกาสที่ดี ยิ่งในระยะยาวด้วยแล้วยิ่งมีโอกาส อย่างปีที่แล้วจะเห็นว่าการที่รัฐบาลสั่งลงดาบบริษัทยักษ์ใหญ่หลายราย มองว่าไม่ใช่การจะฆ่าให้ตาย แต่เป็นเพียงการจัดระเบียบ ซึ่งปีนี้เริ่มผ่อนคลายและปล่อยให้เดินหน้าไปได้ต่อ

ทั้งนี้ วิธีคิดของจีนคือ Innovation first and then regulation คือ ปล่อยให้พัฒนานวัตกรรมไปอย่างเต็มที่ก่อนแล้วค่อยจัดระเบียบภายหลัง ซึ่งสวนทางกับฝั่งสหรัฐอเมริกา คือ Innovation first and then no regulation ปล่อยให้เป็นอิสระอย่างเต็มที่กับการพัฒนานวัตกรรมโดยไม่มีการจัดระเบียบ

เชื่อว่า ประเทศจีนผ่านการวางรากฐานเศรษฐกิจ พร้อมทั้งดำเนินการปราบปรามคอร์รัปชั่นไว้แล้ว หากไม่มีอะไรมาฉุดไว้ สเต็ปถัดไปคือ การเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน พร้อมแนะนำโอกาสสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มอุปโภคบริโภคมีความโดดเด่นน่าสนใจ เพราะจีนมีความต้องการที่จะเพิ่มชนชั้นกลางจาก 300-400 ล้านคน ให้เพิ่มเป็นเท่าตัว จึงกลายเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง

เช่นเดียวกับกลุ่มอีคอมเมิร์ซ หรือค้าปลีกออนไลน์จีนที่มีการเติบโตอย่างมหาศาล โดยปีที่แล้วมีมูลค่าถึง 44 ล้านล้านหยวน และมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ถึง 100 ล้านล้านหยวนในอนาคต