แพทย์ชี้ผลกระทบฝุ่น PM 2.5 เสี่ยงต่อโรคหัวใจ

ฝุ่น PM 2.5 กรุงเทพ
ฝุ่น PM 2.5 กรุงเทพ

จากวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 ในอากาศมีปริมาณเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่นในอากาศมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

วันที่ 23 มีนาคม 2566 นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เปิดเผยว่า ฝุ่นละออง PM 2.5 นับเป็นสารอนุมูลอิสระ (Free Radical) เช่นเดียวกับบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้าที่สามารถก่อให้เกิดโรคเรื้อรังได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือโรคทางปอด ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณที่ได้รับอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยฝุ่น PM 2.5 จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด จนเกิดเป็นลิ่มเลือด หากได้รับในปริมาณสูงก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดได้อย่างชัดเจน

ผลกระทบจาก PM 2.5 นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 อาการ ได้แก่ อาการหลอดเลือดเสื่อมสภาพ หนาตัวขึ้น และอาการกล้ามเนื้อหดตัวแข็งขึ้น ยืดหยุ่นน้อยลง ส่งผลต่อเกร็ดเลือดทำให้เกิดการสลายลิ่มเลือดยากขึ้น และเกร็ดเลือดเกาะกลุ่มได้ง่ายขึ้น เมื่อปัจจัยทั้งสองเกิดขึ้นก็จะมีโอกาสทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันได้

นพ.ชาติทนงกล่าวต่ออีกว่า ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 นั้นไม่เกี่ยวกับอายุ แต่เกี่ยวข้องกับปริมาณที่ร่างกายได้รับ จนเกิดการสะสมขึ้นในร่างกาย ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด เบาหวาน และความดันก็ย่อมมีความเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่น เนื่องจากมีความอ่อนไหวสูง อีกทั้งขณะนี้แพทย์ทั่วโลกกำลังเตือนภัย และยกระดับความเสี่ยงของ PM 2.5 ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ เทียบเท่ากับบุหรี่ ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือกระตุ้นโรคประจำตัวได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม คนที่สุขภาพดีก็ต้องดูแลป้องกันตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะหากสูดฝุ่น PM 2.5 เข้าไปในปริมาณสูงก็จะส่งผลต่อหลอดเลือดได้ ล่าสุดหน่วยงานด้านเวชศาสตร์การกีฬาได้ออกมาเตือนภัยแล้วว่า ถึงแม้จะเป็นนักกีฬาที่ร่างกายแข็งแรง หากได้รับฝุ่น PM 2.5 เกิน 50 ไมโครกรัมขึ้นไป ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคได้ ดังนั้น ทุกคนควรใส่หน้ากากอนามัยขณะออกกำลังกาย หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง

สัญญาณเตือนแบบพิษฉับพลันของ PM 2.5 ได้แก่ อาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลื่นไส้ เลือดกำเดาออก ขณะที่การก่อโรคเรื้อรังอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ จะเป็นลักษณะของการสะสมโรค จึงมักจะไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะสุขภาพของหัวใจ


ปัจจุบันมีหลากหลายเทคโนโลยีที่แม่นยำ อาทิ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจโดยการวิ่งบนสายพาน (Exercise Stress Test) การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiogram) หรือการตรวจวัดระดับแคลเซียมบริเวณผนังหลอดเลือดหัวใจ (CT Coronary Calcium Score) การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม การทำงานของไต ระดับไขมันคอเลสเตอรอล ระดับไขมันความหนาแน่นสูง-ต่ำ และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ทำให้เราทราบถึงความเสี่ยงและแนวโน้มที่อาจจะทำให้เกิดโรคหัวใจในอนาคต และควรตรวจเช็กหัวใจกับแพทย์เป็นประจำทุกปี