ดร.นิเวศน์ : Election Day วันสำคัญ “ชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย”

ดร.นิเวศน์ วันเลือกตั้ง

ดร.นิเวศน์ กูรูนักลงทุนวีไอ มองการเลือกตั้งไทยครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง “ฝ่ายอนุรักษนิยม-อำนาจนิยม” กับ “ฝ่ายเสรีนิยม-ประชาธิปไตย” ที่แหลมคมที่สุดที่ประเทศไทยเคยประสบมา การชนะหรือแพ้ในรอบนี้เป็นเครื่องชี้ว่าประเทศไทยจะไปทางไหนต่อจากนี้ และอาจจะไม่หวนกลับมาเป็นแบบเดิมที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ อีกเลย

วันที่ 26 มีนาคม 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กำหนดการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อที่จะเลือกตั้ง ส.ส. และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในเวลาไม่เกิน 2 เดือนนับจากวันนี้ นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะกำหนด “อนาคต” ของประเทศไทยว่าเราจะไปทางไหน จะ “ก้าวหน้าหรือถอยลงคลอง” ในระยะยาว

ถ้าจะให้เทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือ การรบหรือการต่อสู้ในครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่บอกว่าโลกหรือประเทศไทยจะสามารถยืนอยู่อย่างมั่นคง มีการปกครองที่ราบรื่น และทุกฝ่ายเคารพยอมรับใน “ระเบียบ” ที่ยุติธรรม มีเสรีภาพ และความเท่าเทียมกันในฐานะของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดมาในฐานะอย่างไรและเชื้อชาติไหน

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่าย “เผด็จการอำนาจนิยม” นำโดยเยอรมนีชนะฝ่าย “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ใน “ยกแรก” สามาถยึดยุโรปได้เกือบทั้งหมด แต่หลังจากนั้นก็เริ่มสะดุดและถดถอย โดยเฉพาะการรบกับสหภาพโซเวียตรัสเซีย

จนถึงวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐอเมริกาได้กำหนดวัน “D-Day” ที่จะ “ยกพลขึ้นบก” ที่ชายหาดนอร์มังดีของฝรั่งเศส และหลังจากนั้นก็บุกตะลุยจนเข้ายึดกรุงเบอร์ลินสำเร็จ เยอรมนีพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และโลกก็กลับสู่ความเจริญก้าวหน้าและ “สงบสุข” และมีระเบียบโลกที่เป็นที่ “ยอมรับ” อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

การเลือกตั้งในปี 2566 นี้ ซึ่งผมเรียกว่า “E-Day” หรือ “Election Day” จะเป็นวันสำคัญที่จะ “ชี้ชะตาอนาคตของประเทศไทย” หลังจากที่เราเคยเป็นประชาธิปไตยบ้างและอำนาจนิยมบ้างสลับกันไปมา

จนกระทั่งถึงเมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้วที่เรา “จอด” อยู่ที่การเป็นอำนาจนิยมมายาวนาน และก็ยังไม่รู้ว่าจะออกจากวังวนนั้นได้ไหม จนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพราะระบบโครงสร้างของประเทศถูก “ล็อก” เอาไว้ตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2557 ที่มีการใช้รัฐธรรมนูญที่แก้ไขยากมาก จนแทบเป็นไปไม่ได้

การรบหรือการต่อสู้เพื่อ “ปลดปล่อย” หรือทำให้ประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” นั้น เริ่มอย่างจริงจังและนำโดย “คนรุ่นใหม่” เมื่อประมาณ 4-5 ปีมาแล้วเมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2562 ที่มีการตั้งพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่เพื่อแข่งขันในการเลือกตั้ง ซึ่งผลก็คือสามารถได้ ส.ส.จำนวนมากอย่าง “น่าตกใจ”

โดยเฉพาะในสายตาของฝ่ายที่ “คุมอำนาจ” ของประเทศมาช้านาน ดังนั้น พวกเขาคิดว่าจะต้องรีบ “ตัดไฟแต่ต้นลม” โดยการ “ยุบพรรค” แต่แล้ว การรบหรือการต่อสู้กลับไม่สงบลง “ไฟ” ของการต่อสู้กลับลุกโชนขึ้นจน “ดับไม่ได้”

การที่จะอธิบายการรบหรือการต่อสู้ทางการเมือง “ยุคใหม่” ของไทยนั้น ผมจะอุปมาอุปไมยว่า การต่อสู้นั้นเหมือนในสงครามจริงที่จะต้องมีกองกำลังหรือกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ โดยกองทัพบกก็คือจำนวนคนทั้งที่เป็นคนธรรมดา สามารถทำได้แค่ออกเสียงในการเลือกตั้ง และคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจและแต่งตั้งให้คนอื่นในฝ่ายตนเองมีอำนาจการปกครองเช่น ส.ว. ส.ส. ข้าราชการ โดยเฉพาะตำรวจและทหารที่มีอำนาจและถืออาวุธ เป็นต้น

กองทัพเรือก็คือ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทางการเมือง ซึ่งแน่นอน รวมถึงรัฐธรรมนูญ กฎเกณฑ์หรือกติกาการเลือกตั้ง ระบบยุติธรรมทั้งหมด รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่

กองทัพอากาศ ซึ่งก็คือเรื่องของเหตุการณ์ ความจริงหรือความเชื่อ และความคิดที่ถูกส่งออกไป เพื่อที่จะเปลี่ยนจิตใจของคนทั้งหลายให้มาเป็นพวกของฝ่ายตน

ทั้ง 3 กองทัพนั้น ในอดีต ฝ่ายที่เรียกว่า “อนุรักษนิยม” ซึ่งบ่อยครั้งก็เป็น “อำนาจนิยม” ด้วยนั้น เป็นฝ่ายที่ “ครอบครอง” เกือบทั้งหมด ฝ่ายตรงกันข้ามที่เรียกว่า “เสรีนิยม” นั้น มีพลังน้อยมาก

ในส่วนของกองทัพบกอาจจะมีคนที่เชื่อในเสรีนิยมแค่หยิบมือเดียว กองทัพเรือนั้น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย กฎเกณฑ์ถูกเขียนและบังคับใช้โดยฝ่ายอนุรักษนิยมแทบจะสิ้นเชิง ในส่วนของกองทัพอากาศนั้น สื่อแทบทุกชนิด ยกเว้นหนังสือพิมพ์ก็อยู่ในมือของ “รัฐ” ที่ปกครองแบบอนุรักษนิยมทั้งหมด ดังนั้น ฝ่ายเสรีนิยม-ประชาธิปไตย จึงแทบจะ “ไม่มีที่ยืน” ในสังคม

แต่การเกิดขึ้นของโลกดิจิทัลและสื่อสังคมรุ่นใหม่ในช่วงไม่นาน คือประมาณไม่เกิน 10 ปีมานี้ ทำให้ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดมีต้นทุนในการส่งและการรับน้อยมาก หรือฟรี ซึ่งทำให้กองทัพอากาศถูกใช้ในการต่อสู้ทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญในเครื่องมือนี้มาก และพวกเขาจำนวนน้อยนิดก็เหมือนกับ “นักบิน” ที่ขับ “เครื่องบินเจ็ตรุ่นใหม่ที่สุด” จำนวนเป็นแสน ๆ ลำ บรรทุกระเบิดเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามทุกวัน

จนถึงวันนี้สามารถ “ครอบครองท้องฟ้า” ของประเทศไทยได้ ความหมายก็คือ สามารถ “เปลี่ยนความคิด” ให้คนจำนวนมากโดยเฉพาะประชาชนทั่วไป เข้ามาเป็นพวก คนที่เคยเป็นอนุรักษนิยมก็เปลี่ยนมาเป็นเสรีนิยมมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงคนรุ่นใหม่ที่สมาทานความคิดนี้ตั้งแต่เริ่มมีจิตสำนึกทางสังคมและการเมือง

ดังนั้น กองทัพบกที่เคยถูกครอบครองโดยฝ่ายอนุรักษนิยมจึงมีพลังน้อยลง ในขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมมีพลังมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของประชาชนที่ถูกเปลี่ยนโดยการถล่มของกองทัพอากาศของฝ่ายเสรีนิยม

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคนกลุ่มอื่นโดยเฉพาะ ส.ว. และหน่วยงานที่คุมกฎของการปกครองประเทศก็ยังอยู่ในมือฝ่ายอนุรักษนิยมอยู่ รวมถึงฝ่ายที่ถืออาวุธแทบทั้งหมดที่ยังไม่ถูกทำให้เปลี่ยนข้างได้ ดังนั้น ถึงวันนี้ผมยังคิดว่ากองทัพบกของทั้งสองฝ่ายยัง “สูสี” แม้ว่าอาจจะมี “แลนด์สไลด์” ของฝ่ายเสรีนิยมในการเลือกตั้ง

ดูเหมือนว่ากองทัพเรือของฝ่ายอนุรักษนิยมยังแข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะถูกถล่มด้วยกองทัพอากาศของฝ่ายเสรีนิยมอย่างหนักจนต้องถอยในบางเรื่อง เช่น การยอม “ให้ประกันตัว” นักรบฝ่ายเสรีนิยมในกรณีความผิดบางอย่าง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การใช้กองทัพเรือในการต่อสู้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถใช้เรือยึดทำเนียบได้ เรือนั้นส่วนใหญ่ก็มักทำได้เฉพาะในการตัดกำลังของข้าศึก เช่น การตัดสิทธิหรือยุบพรรคอะไรแบบนี้

แต่ก็ต้องระวังว่าเมื่อนำเรือออกมาสู้ ก็มักจะเป็นเป้าให้เครื่องบินของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาถล่ม ซึ่งก็เป็นต้นทุนที่สูงมาก ตัวอย่างก็น่าจะเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองฝ่ายเสรีนิยมรุ่นใหม่ถูกยุบพรรค ซึ่งก่อให้เกิดการประท้วงและการประกาศสงครามทางอากาศ และในที่สุดท้องฟ้าก็ถูกครอบครองมาจนถึงวันนี้

ทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยม-อำนาจนิยม กับฝ่ายเสรีนิยม-ประชาธิปไตย ที่แหลมคมที่สุดที่ประเทศไทยเคยประสบมา การชนะหรือแพ้ในรอบนี้น่าจะเป็นเครื่องชี้ว่าประเทศไทยจะไปทางไหนต่อจากนี้ และอาจจะไม่หวนกลับมาเป็นแบบเดิมที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ อีกเลย