ผู้ว่าการ ธปท. แนะพรรคการเมืองเลี่ยงนโยบายทอดแห คนรวยอาจได้ประโยชน์

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

ผู้ว่าการแบงก์ชาติชี้นโยบายหาเสียงพรรคการเมือง คำนึงถึง “เสถียรภาพ” มากกว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น” แบบทอดแห สร้างผลข้างเคียง แนะวางโครงสร้างระยะยาว หนุนเศรษฐกิจเติบโตยั่งยืน หวั่นนโยบายบั่นทอนเสถียรภาพก่อให้เกิดวิกฤต

วันที่ 24 เมษายน 2566 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “Meet the Press” ว่า สำหรับนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งนั้น มองว่าจังหวะและบริบทเศรษฐกิจไทยตอนนี้เรื่อง “เสถียรภาพ” สำคัญมากกว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น” ดังนั้น นโยบายอะไรที่มากระทบเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจไม่ค่อยดี

โดยนโยบายที่สำคัญกว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น” น่าจะสร้างศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว ทำอะไรที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้เศรษฐกิจไปได้ในอนาคต ซึ่งหลายอย่างมองไปข้างหน้าเรื่องของการมุ่งไปสู่เศรษฐกิจยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมานโยบายกระตุ้นตรงนั้นตรงนี้ ได้ผลชั่วคราวในแง่ตัวเลข แต่มีผลข้างเคียง เช่น หนี้ตามมา ดังนั้น เวลาทำนโยบายจะต้องดูให้ครบว่าผลของการกระตุ้นที่จะเกิดขึ้นตามมา และค่าเสียโอกาสของงบประมาณที่มีจำกัด ซึ่งไปใช้ที่อื่นอาจจะเหมาะสมหรือไม่

“การกระตุ้นด้วยนโยบายประชานิยม คือ การดูแลในระดับที่มากเกินไป นโยบายอันหนึ่งที่บ้านเราไม่ควรเห็น คือ นโยบายทอดแห ลดค่าโน่นค่านี่ เป็นอะไรที่ไม่เฉพาะเจาะจง ทำให้เงินที่ใช้ไม่ไปในจุดที่ควรไป เช่น นโยบายบางอันคนรวยอาจจะใช้ได้ ดังนั้น นโยบายควรเป็นนโยบายแบบพุ่งเป้า หรือ Targeted เช่น บัตรคนจน ลงไปที่คนจน ดีกว่าทอดแห เพราะงบประมาณจะช่วยเสริมสร้างการเติบโตในระยะยาว”

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวอีกว่า นโยบายอะไรที่มาบั่นทอน “เสถียรภาพ” จะนำไปสู่วิกฤต ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ด้าน คือ 1.ฐานะการคลัง ภาระการคลังเพิ่มสูงเกินไป กระทบเสถียรภาพการคลัง ซึ่งจะดูจากตัวเลขหนี้สาธารณะต่อจีดีพี และภาระหนี้ต่องบประมาณ ซึ่งสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 8.5-8.7% ซึ่งหากเกิน 10% มีโอกาสที่จะถูกดาวน์เกรดเรตติ้ง

2.เสถียรภาพด้านราคา จะเกิด Hyper Inflation ที่เงินเฟ้อวิ่งทะลุ 10% ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาฐานะการคลังไม่ดี จนต้องทำให้ธนาคารกลางจากองค์กรอิสระเปลี่ยนมาเป็นต้องตอบโจทย์การคลัง ซึ่งนโยบายการเงินและการคลังต้องแยกจากกัน

3.ค่าเงิน จะเห็นว่าตลาดลงโทษนโยบายการเงินแปลก ๆ เช่น อังกฤษ ที่มีนโยบายคลังลดภาษี-ลดงบดุล ทำให้ความเชื่อมั่นถูกกระทบ และ 4.สถาบันการเงิน นโยบายอะไรที่กระทบวินัย หรือสร้างแรงจูงใจหรือสร้างวัฒนธรรมจงใจผิดนัดชำระหนี้ (Moral Hazard) ซึ่งโอกาสเห็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น


“หากถามว่านโยบายพรรคการเมืองจะทำให้การทำนโยบายของ ธปท.ยากขึ้น ตอบเลยว่าไม่เคยทำงานง่าย แต่หากดูภาพรวมเศรษฐกิจได้ผ่านช็อกต่าง ๆ สะท้อนเศรษฐกิจเรายืดหยุ่น เราก็คงไปต่อได้”