สัญญาณหุ้นค้าปลีกมาแรง ปัจจัยบวกเพียบ

จับสัญญาณหุ้นค้าปลีก ปัจจัยบวกปีนี้รออยู่อีกเพียบ พร้อมวิเคราะห์และคาดการณ์กำไร กับ “กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน

วันที่ 24 เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นค้าปลีกปัจจัยบวกแข็งแกร่ง ท่องเที่ยวฟื้น การเลือกตั้งและการบริโภคที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ด้านกูรูประเมินการเติบโตฟื้นตัวก้าวกระโดดแค่ไหน พร้อมคาดการณ์กำไรปี 2566 กับ “กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน (จำกัด) มหาชน

Q : หุ้นค้าปลีกปีนี้มีปัจจัยบวกค่อนข้างเยอะ ประเมินการเติบโตเป็นอย่างไร

ต้องบอกว่าปีนี้ค่อนข้างมองบวกต่อตัวหุ้นในกลุ่มค้าปลีก ในภาพรวมว่าในปี 2566 ผลประกอบการน่าจะฟื้นตัวแบบมีนัยสำคัญ เพราะแรงส่งในเรื่องของตัวการเปิดประเทศของจีน และนำมาซึ่งปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นในปีนี้

คาดการณ์ว่าในปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะเข้าไทยสูงถึง 30 ล้านราย เพราะฉะนั้นหุ้นภาคบริการบ้านเราในส่วนใหญ่แล้วน่าจะได้อานิสงส์บวกจากเรื่องนี้ ก็จะทำให้ตัวเม็ดเงินสภาพคล่องโดยรวมสะพัดขึ้น และก็หนุนกำลังซื้อภายในด้วย

อันที่สองก็คือ จะเห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยมีสัญญาณที่ดีและก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ไล่เรียงตั้งแต่การเปิดกิจกรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในรอบล่าสุดก็ต้องบอกว่ารอบแรกเลยที่เรากลับมาเล่นสงกรานต์กันเต็มรูปแบบตั้งแต่เกิดโควิด-19 เม็ดเงินก็สะพัดกว่า 1.2 แสนล้านบาท หากใครไปเที่ยวสงกรานต์ก็คงจะเห็นภาพว่าคอนเสิร์ต อีเวนต์ ห้างร้านต่าง ๆ ก็มีกิจกรรมที่คึกคักมากขึ้น

Advertisment

และอีกภาพหนึ่งก็คือ การเลือกตั้งซึ่งเราก็ไม่ได้เลือกตั้งกันมา 4 ปีเต็ม ก็ครบเทอม รอบนี้เม็ดเงินระดับประมาณ 1.25 แสนล้านบาท อาจจะสะพัดขึ้น ดังนั้นโครงสร้างโดยรวมกลุ่มค้าปลีกมีปัจจัยหนุนเชิงบวกค่อนข้างเยอะ

ต้องบอกว่าปีนี้กำไรจะโตถึง 30% ปี 2565 ก็โตเยอะ แต่เป็นการโตจากฐานที่ต่ำและก็บางตัวมีกำไรพิเศษ แต่ปีนี้ค่อนข้างเป็นกำไรจากการดำเนินงานจริง ๆ ที่โตระดับ 3-4%

ถามว่ากลุ่มไหนเด่นก็จะเป็นหมวดสินค้าจำเป็นทั่วไปที่อาจจะเติบโตในระดับ 40% ส่วนพวก Home Improvement (ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง) พวก Discretionary (สินค้าฟุ่มเฟือย) อาจจะโตน้อยกว่า 17% เพราะผลกระทบในเรื่องราคาเหล็ก ซึ่งในปีที่แล้วเป็นที่หนุนการเติบโตในกลุ่มนี้ค่อนข้างเยอะ

เพราะฉะนั้นภาพรวมต้องบอกว่ากลุ่มค้าปลีกกำไรจะโตค่อนข้างดี ถ้ามองในโครงสร้างการเติบโตของฐานกำไร ใครที่ฐานกำไรน่าจะโดดเด่นสุด ก็ต้องบอกว่า CPALL ก็โตระดับสูงประมาณ 40% ส่วนตัว CRC สัก 25%

Advertisment

โดยภาพรวม BJC ก็ 28% และเรตติ้งคำแนะนำส่วนใหญ่ก็เป็นคำแนะนำซื้อเป็นส่วนใหญ่ในหุ้นกลุ่มนี้ อันนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นภาพที่เราคิดว่ากลุ่มค้าปลีกเองยังค่อนข้างน่าสนใจอยู่

Q : กำไรทั้งปี 2566 ประเมินไว้ที่เท่าไหร่

ประเมินผลประกอบการปี 2566 ไว้ที่ประมาณ 57,000 ล้านบาท จากปี 2565 ที่ 44,000 ล้านบาท ก็ถือว่าเป็นฐานกำไรที่ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นหุ้นในกลุ่มค้าปลีกมีโอกาสที่จะค่อย ๆ Outperform ขึ้น

ถามว่าตอนนี้ทำไมหุ้นมันดูแผ่ว ๆ ดูนิ่ง ๆ ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าหุ้นในกลุ่มนี้มันก็ขยับตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว เล่นกับตัวบรรยากาศ (Sentiment) การเปิดเมืองของจีน (China Reopening) เป็นภาพบวก แต่อย่าลืมภาพหนึ่ง Earnings (กำไรสุทธิ) ในช่วงไตรมาส 4 ค่อนข้างน่าผิดหวังมาก

ฉะนั้นตลาดจะรอว่าไตรมาส 1 กำไรสุทธิจะโดดเด่นมากน้อยแค่ไหน จะเป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นเซนติเมนต์และความเชื่อมั่นต่อการลงทุนหุ้นในหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มเติม ซึ่งโดยรวมมองว่าไตรมาส 1 โดยส่วนใหญ่กำไรจะดีขึ้น เราเห็นสัญญาณตัวยอดขายสาขาเดิมที่ยังคงเติบโต

เพียงแต่ว่าระดับการฟื้นตัว QOQ จากไตรมาส 4 มันอาจจะยังไม่ได้เร่งตัวมากเท่าไหร่ ถามว่าเกิดจากอะไรทำไมถึงมองภาพทิศทางไตรมาส 1 กำไรของตัวกลุ่มค้าปลีกอาจจะไม่ได้เติบโต QOQ มากนัก

ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าต้นทุนค่าไฟที่สูงมันยังลงไม่เร็วมากนัก ซึ่งไทม์ไลน์ที่ค่าไฟจะลงแบบเร่งตัวคือกลางไตรมาส 2 เป็นต้นไป เพราะฉะนั้นก็เป็นที่มาว่ากำไรยอดขายโดยรวมเริ่มดีขึ้น แต่ต้นทุนมันยังไม่ได้ลงเร็วมากนัก เพราะฉะนั้นกำไรมันก็ยังฟื้นตัวไม่ได้มากนัก

พอเข้าไตรมาส 2 จะเป็นไตรมาสที่สักครึ่งไตรมาสจะเผชิญกับต้นทุนที่ลงแบบมีนัยสำคัญ อันนี้จะเป็นจุดที่กำไรสุทธิปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกำลังซื้อก็จะดีขึ้น เพราะไตรมาส 2 เป็นไตรมาส 2 ที่พิเศษ ก็คือสงกรานต์เต็มรูปแบบครั้งแรก ภาพของตัวการเลือกตั้งอีก ซึ่งกิจกรรมการเลือกตั้งมันก็กระตุ้นในเรื่องของกำลังซื้ออยู่แล้ว

เพราะว่านโยบายในส่วนใหญ่ก็จะหนุนมาในขาของตัวมาตรการกำลังซื้อระยะสั้นก่อน ก่อนที่โครงสร้างของตัวรัฐบาลที่ได้มาก็จะค่อยมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะกลาง-ระยะยาวทีหลัง และหลังจากนั้นครึ่งหลังกำไรสุทธิกลุ่มค้าปลีกจะเร่งตัวขึ้นอีก เพราะว่าแนวโน้มการบริโภคจะแข็งแรงขึ้นตามโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และภาพของการท่องเที่ยวจะคึกคักมากไปกว่าครึ่งปีแรกอีก ก็จะเป็นจุดที่ทำให้ฐานกำไรของกลุ่มค้าปลีกโดดเด่น

ซึ่งไม่ได้โดดเด่นเฉพาะปี 2566 ปี 2567 ภาพรวมเราก็มองว่ากำไรจะไปอีกจาก 57,000 ล้านบาทในปีนี้ ปี 2567 อาจจะถึง 67,500 ล้านบาท ของกลุ่มโดยรวม เป็นการเติบโตระดับประมาณ 18% จากฐานกำไรปี 2566 ก็ต้องบอกว่าเป็นหุ้นในธีมที่น่าสนใจสำหรับซื้อเพื่อระยะกลางและระยะยาว

Q: หุ้น TOPPICK มองจุดเด่นราคาเป้าหมายที่มองไว้ปีนี้มองเท่าไหร่

มอง BJC กับตัว CRC เป็น BESTPICK ทำไมถึงมอง BJC กับตัว CRC ก็ต้องบอกว่าทิศทางกำไรยังเติบโตได้ดีและเร่งตัวที่สุดในกลุ่ม ก็เลยเป็นที่มาว่า BJC, CRC กำไรอาจจะโตระดับ 25-28% อาจจะโตใกล้ ๆ กลุ่ม แต่ระดับการเติบโตของกำไรมีความต่อเนื่อง

ส่วน CPALL อาจเห็นการเติบโตที่สูง หรือแม้แต่ MAKRO ที่โตระดับ 47% CPALL 40% แต่ว่าการเติบโตมันจะเร่งในช่วงกลางไตรมาส 2 เป็นต้นไป จนถึงครึ่งหลัง ฉะนั้นโดยภาพรวมก็ต้องบอกว่าก็เป็นหุ้นที่สามารถลงทุนได้ แต่ว่าค่อย ๆ วาง Position สำหรับพวก CPALL หรือ MAKRO

ส่วนธีม Home Improvement (ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง) ถ้าจะลงทุนก็อาจจะดูผลการเลือกตั้งว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน ถ้ารัฐบาลมีเสถียรภาพต้องบอกว่าเลยหุ้น Home Improvement จะน่าสนใจมาก GLOBAL, DOHOME จะโดดเด่นธีม Discretionary (สินค้าฟุ่มเฟือย) จะกลับมา อันนี้ก็รอจังหวะ

เพราะฉะนั้นสรุปโดยภาพรวม BESTPICK ในกลุ่มนี้เราเลือก BJC ที่มูลค่าพื้นฐาน 44 บาทต่อหุ้น และ CRC ที่ 50 บาทต่อหุ้น ส่วน CPALL เป็น Trading Buy (เก็งกำไร) ที่มูลค่าพื้นฐาน 70 บาทต่อหุ้น เช่นเดียวกับตัว MAKRO แนะนำเป็นเก็งกำไร เพราะว่ากำไรก็จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2

ส่วน DOHOME, GLOBAL จับจังหวะไว้ดี ๆ ถ้ารัฐบาลโดยรวมมีเสถียรภาพก็ต้องว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะดีต่อเนื่อง 2-3 ปีติดมีความเป็นไปได้ และภาพของธีม Normalization มักจะซัพพอร์ตหุ้นในกลุ่ม GLOBAL, DOHOME เป็นเป้าหมายหลักอยู่แล้ว