แสนสิริเตรียมขายหุ้นกู้ 2 รุ่น เคาะดอกเบี้ยสูงสุด 4.55% จองซื้อ 1-2 และ 6 มิ.ย.นี้

แสนสิริ เตรียมขายหุ้นกู้ 2 รุ่น

บมจ.แสนสิริเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ 2 รุ่น อายุ 2 ปี 6 เดือน และอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00-4.55% ต่อปี ให้ประชาชนทั่วไป ผ่าน 10 สถาบันการเงิน ด้านทริสเรทติ้งจัดอันดับความน่าเชื่อถือบริษัทและหุ้นกู้ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” จองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ระหว่างวันที่ 1-2 และ 6 มิถุนายน 2566

วันที่ 16 พฤษภาคม 2566 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ หลังจากประสบความสำเร็จในการขายหุ้นกู้รุ่นก่อนหน้ามาโดยตลอด สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและผลตอบรับที่ดีจากนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาฯ จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวรองรับทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา

โดยหุ้นกู้ที่จะเสนอขายครั้งนี้เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป สำหรับหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยระหว่าง 4.00-4.10% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยระหว่าง 4.45-4.55% ต่อปี

โดยเสนอขายผ่าน 10 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย)

หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะประกาศให้ทราบในภายหลัง โดยหุ้นกู้และบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่ (Stable)” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566

และคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 1-2 และ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566 นี้ ด้วยเงินจองซื้อขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 1,000 บาท เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของบริษัทที่จับต้องง่าย และเป็นแบรนด์ “ที่ทุกคนเข้าถึงได้” ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์เท่านั้น ยังมองถึงความสำคัญในด้านการลงทุนที่ต้องทั่วถึงและเท่าเทียมกัน

สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2566 แสนสิริมีรายได้รวมอยู่ที่ 8,505 ล้านบาท โตขึ้น 63% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากรายได้จากการขายโครงการที่โดดเด่นในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย นำด้วยรายได้จากการขายคอนโดมิเนียมที่ในไตรมาสนี้เติบโตสูงสุดถึง 217% หรือโกยรายได้ 2,717 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการขายโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรดักต์ โดยแชมป์รายได้จากโครงการบ้านเดี่ยว ได้แก่ โครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา ส่วนรายได้จากการขายโครงการทาวน์โฮม เติบโตขึ้นถึง 104% โดยเฉพาะความสำเร็จในลักเซอรี่ เรซิเดนซ์แนวคิดใหม่ “เดมี สาธุ 49” เป็นต้น

นอกจากรายได้ที่โดดเด่นในทุกโปรดักต์แล้ว กำไรขั้นต้นจากการขายโครงการที่อยู่อาศัยยังคงสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ประกอบกับในไตรมาสนี้ แสนสิริมีการบันทึกกำไรจากการขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา และการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วม ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2566 เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

โดยแสนสิริมีกำไรสุทธิ 1,582 ล้านบาท เติบโตโดดเด่นขึ้นถึง 423% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไรสุทธิสูงถึง 18.6% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 5.8 ของรายได้รวมในไตรมาสแรกของปี 2565