ยูโอบี โกยกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ พุ่ง 74% สูงเป็นประวัติการณ์

ยูโอบี
Photo by Roslan RAHMAN / AFP

กลุ่มธนาคารยูโอบี ประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 พุ่ง 1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สูงเป็นประวัติการณ์ ปรับเพิ่มขึ้น 74% รายได้การค้า-การลงทุนฟื้นตัว อานิสงส์การเติบโตจากธุรกิจรายใหญ่-Global Markets-รายย่อย

วันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มธนาคารยูโอบี ประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 2566 ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สูงเป็นประวัติการณ์ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 74% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ตัวเลขผลประกอบการฟื้นตัวดีขึ้นและรายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิขยายตัว 56 จุด ส่งผลให้รายได้จากดอกเบี้ยรับปรับตัวสูงขึ้น 43% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นจากรายได้จากการค้าและการลงทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งช่วยชดเชยรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการที่ปรับตัวลดลง

ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2566 ของกลุ่มธนาคารได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของธุรกิจ Wholesale, Global Markets และกลุ่มลูกค้ารายย่อย เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งดีดตัวกลับอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากทัศนคติของนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตยังคงได้รับแรงโมเมนตัมที่ดี

เงินกันสำรองในไตรมาสแรกปี 2566 ยังคงอยู่ในความคาดหมายที่ 25 จุด อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คงที่ที่ 1.6% งบดุลของกลุ่มธนาคารยังคงแข็งแกร่ง มีสภาพคล่องที่เหมาะสมและอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของที่ 14.0% ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่เกี่ยวเนื่องกับการซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปในมาเลเซีย ไทย และเวียดนาม

“ปัญหาเสถียรภาพของภาคการธนาคารในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเมื่อไม่นานมานี้ส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดและเพิ่มความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตของทั่วโลก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ท้าทายเช่นนี้ การบริหารจัดการอย่างรอบคอบและเป้าหมายในระยะยาวถือเป็นประโยชน์ต่อธนาคารเป็นอย่างมาก

ไตรมาสนี้ ผลกำไรของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจหลักต่าง ๆ และปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตแบบกระจายตัว นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นเสริมงบดุลของเราให้แข็งแกร่ง เพื่อให้เรายังคงสนับสนุนลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะอยู่ในวัฏจักรตลาดระยะใดก็ตาม

การซื้อกิจการซิตี้ดำเนินไปได้ด้วยดี แผนการดำเนินการในอินโดนีเซียเป็นไปตามที่วางไว้และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี หลังเสร็จสิ้นการซื้อกิจการในมาเลเซีย ไทย และเวียดนาม เมื่อเราขยายแฟรนไชส์ในระดับภูมิภาคออกไป เราจะยังคงทุ่มเม็ดเงินลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและเสริมสร้างพันธมิตร

เราคาดว่าเศรษฐกิจของเอเชียจะเติบโตขึ้นในปีนี้ และธนาคารอยู่ในสถานะที่ดีในการรับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เนื่องจากเรามีงบดุลที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วยสถานะเงินและสภาพคล่องที่มั่นคง”

ไตรมาส 1 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565

ผลกำไรหลักสุทธิไตรมาสแรกปี 2566 ปรับตัวสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.58 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หากรวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้ว กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น 31% อยู่ที่ 1.51 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์

รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิปรับลดลงเล็กน้อย 6% ที่ 2.41 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากช่วงระยะเวลาไตรมาสที่มีระยะสั้นกว่าปกติ รวมถึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวลดลงที่ 2.14% จากสภาพคล่องส่วนเกินในสินทรัพย์คุณภาพสูงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเลข 2 หลักที่ 14% อยู่ที่ 552 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งเนื่องจากทัศนคติของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อซึ่งฟื้นตัวดีขึ้นจากรายได้ที่ลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตยังคงมีแรงโมเมนตัมที่ดี โดยได้รับแรงส่งจากการซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปใน 3 ประเทศ

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยพุ่งขึ้นแตะระดับ 563 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าปรับตัวแตะระดับสูงสุดใหม่ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ ผลประกอบการที่ดีขึ้นจากกิจกรรมบริหารจัดการการค้าและสภาพคล่องยังช่วยผลักดันให้รายได้จากการค้าและการลงทุนปรับตัวดีขึ้นสร้างสถิติสูงสุดใหม่

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 2 แต่เนื่องจากรายได้มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า จึงส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นที่ร้อยละ 40.9 กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการเสริมสร้างขีดความสามารถเพื่อขับเคลื่อนความคิดริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมรักษาวินัยการบริหารจัดการต้นทุน

เงินกันสำรองรวมปรับลดลง 8% เนื่องจากเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายลดต่ำลง อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ตั้งเงินกันสำรองทั่วไปเพื่อความรอบคอบในการเสริมความคุ้มครอง

ไตรมาส 1 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565

รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิดีดตัวดีขึ้น 43% อยู่ที่ 2.41 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยได้รับแรงส่งจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 56 จุด รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการปรับตัวลดลงอยู่ที่ 552 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เนื่องจากค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นจากรายได้จากการค้าและการลงทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์

รายได้เติบโตขึ้นในอัตราที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักรวมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลง 3.9 จุด ลงมาอยู่ที่ 40.9% เงินกันสำรองรวมลดลง 5% เนื่องจากธนาคารได้ดำเนินการตั้งสำรองเชิงรุกในอัตราสูงในปีที่ผ่านมา