กองหุ้นเวียดนามพ้นจุดแย่ ผลตอบแทน Q1 พลิกบวก

กองทุนหุ้นเวียดนาม

กองทุนหุ้นเวียดนามให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ ในปี 2565 ที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามมีการออกมาตรการปราบปรามการปั่นหุ้น และ anticorruption ส่งผลเป็นวงกว้างต่อตลาดหุ้นเวียดนามในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์

รวมถึงความกังวลจากเรื่องของภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่เข้ามาผสมทำให้บรรยากาศการลงทุนค่อนข้างแย่

ผลตอบแทนเริ่มฟื้น

ข้อมูลจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) พบว่า กองทุนหุ้นเวียดนามมีทิศทางของการปรับตัวลงตลอดทั้งปี 2565 จึงเป็นหนึ่งในกลุ่มกองทุนที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบมากที่สุดในรอบปี 2565 ที่ -32.9% แต่แม้ว่าจะเป็นกองทุนที่มีผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในปีที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนไทยยังคงแสดงความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในเวียดนาม จากการเป็นกลุ่มกองทุนที่มีเงินไหลเข้าสุทธิสูงสุดของปีด้วยมูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ผ่านมา กองทุนหุ้นเวียดนามมีเงินไหลเข้าสุทธิอยู่ที่ 2,134 ล้านบาท ติดอันดับ 1 ใน 5 ของกลุ่มกองทุนต่างประเทศที่มีเงินไหลเข้าสุทธิมากที่สุด โดยมีผลตอบแทนบวกขึ้นมา ตั้งแต่ไตรมาสแรกถึงปัจจุบัน (YTD) ผลตอบแทนกองทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% (ณ วันที่ 31 พ.ค. 2566)

สำหรับกองทุนหุ้นเวียดนามที่มีผลตอบแทนสูงสุด นำโดย กองทุน DAOL-VIETGROWTH จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ดาโอ ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.99% ตามด้วยกองทุน B-VIETNAMRMF กองทุน B-VIETNAM จาก บลจ.บัวหลวง ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.79%

และ 6.57% ตามลำดับ ต่อมาเป็นกองทุน TVIETNAM จาก บลจ.ทิสโก้ มีผลตอบแทนอยู่ที่ 6.51% และกองทุน PRINCIPAL VNEQ-X จาก บลจ.พรินซิเพิล ผลตอบแทน 6.25% (ดูตาราง)

ตาราง กองทุนหุ้นเวียดนาม

ระยะสั้นยังมีความเสี่ยง

“พจน์ หะริณสุต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด (ONEAM) กล่าวว่า การลงทุนในเวียดนามปีนี้มองว่ายังมีปัจจัยที่ยังน่ากังวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินเชื่อ เรื่องของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเรื่องของเศรษฐกิจในระยะสั้น

ดังนั้น มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม สำหรับปีนี้ให้เป็นแบบ neutral หรือคงน้ำหนักการลงทุน จึงอาจจะไม่ได้แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักในการลงทุนเวียดนามมากนัก แต่ในระยะยาวแน่นอนว่าตลาดหุ้นเวียดนามก็เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ เพราะยังมีการเติบโตอีกมากในอนาคต แต่ระยะสั้น อย่างที่บอกยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตาดู

“ปีนี้จะเห็นว่าความสนใจของนักลงทุนเปลี่ยนไปให้ความสนใจตลาดหุ้นในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น, ตลาดหุ้นจีน, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไต้หวัน ซึ่งกลายเป็นตลาดหุ้นฝั่งเอเชียในปีนี้ที่เราแนะนำลงทุนมากกว่าตลาดหุ้นเวียดนามและตลาดหุ้นไทย”

พจน์ หะริณสุต
พจน์ หะริณสุต

โอกาสลงทุนระยะยาว

“วโรฤทธิ์ จีระชน” Executive Director กลุ่มวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) กล่าวว่า หากมองในระยะกลางถึงยาว ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม โดยมองปัจจัยบวกจาก 1.เวียดนามเป็นประเทศที่ยังด้อยพัฒนา แต่ที่มีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP growth) ค่อนข้างสูง 5-7% ต่อปี โดยปีนี้ก็คาดว่า GDP จะอยู่ที่ประมาณ 6% และปี 2567 อยู่ที่ 7%

และ 2.โครงสร้างประชากรที่มีอายุเฉลี่ยค่อนข้างต่ำ ทำให้โครงสร้างรายได้ยังเติบโตได้ ซึ่งเมื่อคนมีรายได้ดีก็ทำให้เรื่องของการบริโภคในประเทศดีไปด้วย

“แต่ถ้ามองระยะสั้นอย่างในปีนี้ หากดูจากราคาหุ้นเวียดนามปีที่แล้วค่อนข้างแย่มาก ติดลบลง มาประมาณ 40% ถ้าเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุด แต่ปีนี้ก็เริ่มเห็นการฟื้นตัวของตลาดขึ้นมาบ้าง เพราะตลาดรับข่าวลบไปมากแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นอย่างเต็มที่ก็มีปัจจัยกดดันมาจากความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้

ซึ่งก็พัวพันกับภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาพของเศรษฐกิจชะลอตัว ที่อาจทำให้เวียดนามซึ่งเป็นประเทศที่มีการส่งออกเป็นหลัก ก็ได้รับผลกระทบเพราะส่งออกได้น้อยลง ฉะนั้นปัจจัยกดดันต่าง ๆ ก็คงต้องรอเวลาที่จะคลายปม”

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกก็ยังมีในปีนี้ เช่น รัฐบาลเวียดนามมีแนวโน้มที่จะออกนโยบายการลงทุนภาครัฐ (public investment) ซึ่งเป็นการลงทุนในโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ที่จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และ 2.การออกกฎหมายด้านการปฏิรูปที่ดินใหม่

เพื่อที่จะเเก้ปัญหาด้านการปลูกสร้างอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งหุ้นที่ปรับลงมาก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่งก็มาจากความไม่เรียบร้อยของเรื่องนี้ ซึ่งถ้าประเด็นนี้มีทิศทางที่ดีขึ้น บรรยากาศการลงทุน (sentiment) ก็น่าจะดีขึ้นได้

“ระยะสั้นความกังวลยังมี แต่ระยะยาวลงทุนได้ โดยเชื่อว่าโอกาสในการลงทุนเป็นของคนที่กล้าลงทุนในวันที่มีมรสุม วันที่เจอความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ดังนั้น ในตอนนี้ถ้านักลงทุนเชื่อว่าอนาคตเวียดนามจะฟื้นตัวกลับมาได้ดี ก็เป็นจุดที่ดีที่จะทยอยเข้าซื้อสะสม” วโรฤทธิ์กล่าว