PSL กู้เงินแบงก์กรุงเทพสาขาสิงคโปร์ 1.7 พันล้าน นำเงินซื้อเรือ 3 ลำ

PSL ส่งบริษัทย่อยในสิงคโปร์ กู้เงิน ธนาคารกรุงเทพ สาขาสิงคโปร์ จำนวน 48.90 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,720 ล้านบาท นำเงินซื้อเรือ 3 ลำ
วันที่ 24 มิถุนายน 2566 บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัท พรีเชียส เกรซ พีทีอี ลิมิเตด และ บริษัท พรีเชียส สกายส์ พีทีอี ลิมิเตด และ บริษัท พรีเชียส ไทด์ส พีทีอี ลิมิเตด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในสิงคโปร์ โดยที่บริษัทถือหุ้นเต็มจำนวน และบริษัทในฐานะผู้ค้ำประกัน ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้ระยะยาวแบบมีหลักประกัน กับ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) สาขาสิงคโปร์ จำนวนรวม 48.90 ล้านเหรียญสหรัฐ  หรือประมาณ 1,720 ล้านบาท (คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 35.21 บาท)
วัตถุประสงค์การกู้เงินในครั้งนี้ โดยหลักเพื่อคืนเงินหรือรีไฟแนนซ์เงินกู้ของผู้ถือหุ้น เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินกิจการของผู้กู้และเพื่อใช้สนับสนุนการซื้อเรือของผู้ค้ำประกัน โดยแบ่งเป็น 3 วงเงินย่อยดังนี้
– เงินกู้สำหรับเรือลำที่หนึ่ง 17.10 ล้านเหรียญสหรัฐ (เบิกถอนทั้งหมดแล้ว)
– เงินกู้สำหรับเรือลำที่สอง 15.90 ล้านเหรียญสหรัฐ
– เงินกู้สำหรับเรือลำที่สาม 15.90 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยระยะเวลาเบิกถอนเงินกู้ 3 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาสำหรับเรือลำที่หนึ่ง ส่วนเรือลำที่สองและสามประมาณ 12 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ย USD SOFR บวก ส่วนเพิ่ม
แนวทางเงินกู้จะต้องชำระคืน โดยแบ่งเป็น 24 งวด โดยเริ่มชำระงวดแรก 3 เดือน หลังจากการเบิกถอน
เงินกู้

สำหรับหลักประกัน

– การค้ำประกันจากผู้ประกัน
– การจดจำนองเรือเป็นลำดับแรก สำหรับเรือขนาดอัลตราแมกซ์ จำนวน 3 ลำ กล่าวคือ เรือสโรชา นารีเรือสวิตา นารีและเรือสาวิตรี นารี
– การโอนผลประโยชน์เป็นลำดับแรกของเรือทั้ง 3 ลำ สำหรับการประกันภัยและการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน รายได้และสัญญาเช่าเหมาลำใด ๆ ที่มีระยะเวลา 12 เดือนหรือมากกว่า
– การได้รับประโยชน์เป็นลำดับแรกสำหรับบัญชีรายได้และบัญชีชำระคืนเงินกู้ของผู้กู้
– การจำนำหุ้นของผู้กู้ร่วมดังกล่าว

ข้อตกลงทางการเงิน

ผู้กู้จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังต่อไปนี้
– ดำรงเงินสดอย่างน้อย 100,000 เหรียญสหรัฐ
– อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ขั้นต่ำ 1.2 เท่า
ผู้ค้ำประกันต้องปฏิบัติตามข้อตกลงคือ
– อัตราส่วนหนี้สุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมไม่เกิน 2 ต่อ 1
– ส่วนของผู้ถือหุ้น รวมขั้นต่ำ 225 ล้านเหรียญสหรัฐ
– ผู้ค้ำประกันจะต้องดำรงการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ
ไทย
– ผู้กู้ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลหรือผลตอบแทนอื่น ๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้นหากมีเหตุผิดนัดเกิดขึ้นและยังคงดำเนินต่อไป