ดร.นิเวศน์ ท้าดวล 7 พอร์ต “หุ้น-กองทุน” แบบไหน ? ผลงานจะดีสุดอีก 10 ปี

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor)
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor)

ดร.นิเวศน์ กูรูนักลงทุนวีไอ ท้าดวลเดิมพัน 7 พอร์ตหุ้นกองทุน” แบบไหน ? ผลงานจะดีที่สุดในอีก 10 ปีข้างหน้า วัดผลงานในครั้งนี้ ยึดถือผลตอบแทนเป็นเงินบาท

วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า วันที่ 1 มกราคม 2551 บัฟเฟตต์ประกาศท้าพนัน” คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งเขาบอกว่าตั้งค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุนแพงเกินความสามารถ

และส่วนใหญ่ก็จะใช้สูตร “2-20” คือค่าธรรมเนียมแน่นอนที่ 2% ต่อปีของเงินกองทุน หรือ NAV และอีก 20% ของกำไรในแต่ละปี โดยที่บัฟเฟตต์ท้าว่า ผลตอบแทนของเฮดจ์ฟันด์จะแพ้ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนอิงดัชนีที่ไม่ต้องมีคนเลือกหุ้น และเขาเลือกกองทุน S&P500 ของแวนการ์ดกรุป ที่คิดค่าธรรมเนียม ต่ำที่สุด” ที่ 0.04% ต่อปี

คนที่รับคำท้าคือ Ted Seides ผู้ก่อตั้งและบริหารกองทุน Protégé ซึ่งเป็น “Fund of Fund” คือกองทุนที่ลงทุนในเฮดจ์ฟันด์อื่น โดยจะมีการวัดผลตอบแทนเมื่อครบ 10 ปี ตอนสิ้นปี 2560 เงินพนันคือ 1 ล้านเหรียญสหรัฐและนี่ก็คือเรื่องที่จะท้าพิสูจน์” ว่า ระหว่างการลงทุนแบบ “Active” หรือการลงทุนที่อาศัยการเลือกหุ้นของ เซียน” ที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูง กับการลงทุนแบบ “Passive” ที่มีค่าธรรมเนียมการบริหารต่ำ แบบไหนจะให้ผลตอบแทนดีกว่ากันในระยะยาว คือ 10 ปี

การเดิมพันเริ่มขึ้นไม่นาน สถานการณ์ตลาดหุ้นก็พลิกผัน ตลาดหุ้นเกิดวิกฤตซับไพร์มในปี 2551 ดัชนี S&P ลบไป 37% แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ลบลงเพียง 23.9% แต่หลังจากนั้นกองทุน S&P500 ก็เอาชนะมาได้ทุกปีจนถึงปี 2557 โดยที่ NAV หรือมูลค่าสุทธิของกองทุน S&P กลับมานำได้ตั้งแต่ปี 2555 หรือพูดง่าย กองทุนเฮดจ์ฟันด์ชนะ” ในช่วงแรกแค่ 4 ปี

ปี 2558 เฮดจ์ฟันด์กลับมาทำได้ดีกว่า S&P500 ทำผลตอบแทนได้ 1.7% เทียบกับ 1.4% แต่ปี 2559 หุ้นฝั่งบัฟเฟตต์กลับเติบโต 7.1% เทียบกับ 2.2% ของเฮดจ์ฟันด์ พอถึงสิ้นปี 2060 วันสิ้นสุดการแข่งขัน ผลตอบแทนโดยรวมของเฮดจ์ฟันด์คือ 22% ในขณะที่กองทุนดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนรวมถึง 85.4% เป็นชัยชนะที่ ขาดลอย” ของการลงทุนแบบ Passive เหนือ Active เงิน 1 ล้านเหรียญ ที่ได้รับ บัฟเฟตต์ยกให้กับชมรม เพื่อนของผลตอบแทนรวมสูงสุดสำหรับเด็ก

ฝ่ายของเฮดจ์ฟันด์นั้นยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็บอกว่าน่าจะเป็นผลจากการที่หุ้นสหรัฐดีมาก หรืออาจจะเป็นปีทองหลังวิกฤต ในขณะที่เฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่มีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมาก ไม่ได้เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมอะไรมากนัก

ผมเขียนเรื่องนี้แม้ว่าการเดิมพันจบไปนานแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าตอนนี้ในใจผมเกิดความรู้สึก อยากเดิมพันกับความคิดของผมว่าหุ้นแบบไหนหรือหุ้นที่ไหนจะมีผลงานที่ดีที่สุดในอีก 10 ปีข้างหน้า

การมีความคิดในเรื่องของการพนันนั้น อาจจะช่วยให้เราตื่นตัวและตระหนักถึงประเด็นได้ดีกว่าการอยู่เฉย นอกจากนั้นมันก็คงสนุกดีถ้ามีคนอื่นมาพนันด้วย อย่างน้อยก็อาจจะช่วยลดความน่าเบื่อหน่ายสำหรับนักลงทุนหลาย คนที่ไม่รู้จะทำอะไร เล่นไปก็หาวนอนไป” เพราะหุ้นเงียบเหงา ไม่ขึ้นไม่ลงมาหลายปีแล้ว

เดิมพันที่ผมคิดก็คือ ในอีก 10 ปีข้างหน้า ระหว่างกองทุนรวมหุ้น ทั้งที่อิงดัชนีและกองทุนแบบแอ็กทีฟฟันด์ และกองทุนสมมุติที่ผมตั้งขึ้นดังต่อไปนี้ กองไหนที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุด ?

กองทุนอิงดัชนี SET

กองทุนแรกนั้นผมจะให้เป็นกองทุนอิงดัชนีและคิดคำนวณแบบคร่าว จากตัวดัชนีเลยก็คือ ดัชนี SET หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งล่าสุดวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 1,543 จุด อีก 10 ปีคือ ประมาณวันที่ 29 กรกฎาคม 2576 จะอยู่ที่เท่าไรและให้ผลตอบแทนกี่เปอร์เซ็นต์

กองทุนอิงดัชนี S&P500-NASDAQ

กองทุนที่ 2 และกองทุนที่ 3 ซึ่งก็คิดจากตัวดัชนีเป็นหลักก็คือ ดัชนี S&P500 ที่เริ่มจาก 4,582 จุด และดัชนี NASDAQ Composite ที่เริ่มที่ 14,316 จุด ในวันเดียวกัน และนี่ก็คือกองทุนของสหรัฐที่เป็นกองทุนของบริษัทที่มักจะมีธุรกิจทั่วโลกและเติบโตไปกับโลก

กองทุนอิงดัชนีหุ้นจีน-เวียดนาม

กองทุนที่ 4 และกองทุนที่ 5 ก็คือกองทุนอิงดัชนีของจีนและเวียดนามที่อยู่ใกล้บ้านเรา และมีคนไปลงทุนค่อนข้างมากในปัจจุบัน ของจีนนั้นผมจะใช้ตลาดฮ่องกงคือดัชนี HANG SENG ที่ 19,916 จุด และนี่ก็คือบริษัทของจีนที่กำลังจะก้าวขึ้นมาท้าทายอเมริกาใน 10 ปี รวมถึงราคาหุ้นที่ถูกมาก” สำหรับหลาย คนในปัจจุบัน ในส่วนของเวียดนามก็คือ VN Index ที่ 1,207 จุด ซึ่งก็จะเป็นตัวแทนของประเทศที่กำลังเป็นดาวรุ่ง” ในทศวรรษที่กำลังถึงนี้

กองทุนกึ่ง Active

กองทุนที่ 6 คือกองทุนกึ่ง Active ที่น่าสนใจและมีคนไปลงทุนพอสมควรก็คือกองทุน Diamond” ของตลาดหุ้นเวียดนามที่มีราคา 26,290 ด่อง และนี่คือหุ้นเวียดนามที่เป็นที่นิยมสูงมากของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งทำให้เราหาซื้อหุ้นได้ยากและต้องจ่ายในราคาแพงกว่าราคาตลาด

หุ้นซูเปอร์สต๊อก

กองทุนสุดท้ายก็คือกองทุนแบบที่ผมเลือกเองที่ตั้งใจให้เป็นแนวหุ้นซูเปอร์สต๊อก” โดยหุ้นที่เลือกประกอบด้วย หุ้น 8 ตัวดังต่อไปนี้คือ หุ้นตัวใหญ่ 4 ตัว ประกอบไปด้วยหุ้น FPT ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ราคาปัจจุบันคือ 84,400 ด่อง หุ้น REE ที่เป็นโฮลดิ้งทำธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้า น้ำ และระบบไฟฟ้า และความเย็นในอาคารขนาดใหญ่ ที่ 68,000 ด่อง หุ้น MWG ที่ทำธุรกิจค้าปลีก มือถือ และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ที่54,500 ด่อง และตัว ETF หรือกองทุน Diamond ที่ 26,290 ด่อง โดยที่ทั้ง 4 ตัวนี้ จะมีน้ำหนักตัวละ 20% ของพอร์ต

และหุ้นขนาดกลางอีก 4 ตัวคือ ACV หรือหุ้นสนามบินเกือบทั้งหมดของเวียดนาม ที่ราคาปัจจุบันที่ 79,600 ด่อง หุ้น VRE หรือหุ้นที่ทำช็อปปิ้งมอลล์ให้เช่าทั่วประเทศที่ราคา 28,800 ด่อง หุ้น VSH ที่ผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนขนาดใหญ่ ที่ 44,900 ด่อง และหุ้น NT2 ที่เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากแก๊สธรรมชาติ ที่ราคา 29,250 ด่อง โดยที่แต่ละตัวจะมีสัดส่วนตัวละ 5% ของพอร์ต

พอร์ตหุ้นซูเปอร์สต๊อกนี้สามารถปรับได้ปีละหน ซึ่งผมจะพยายามบอกให้ทราบ แต่ความตั้งใจก็คือ น่าจะคงอยู่ประมาณ 5 ปีโดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร และจะถือไปจนครบ 10 ปี เพื่อที่จะสรุปว่าพอร์ตโตขึ้นเป็นเท่าไร ซึ่งก็จะเป็นวันที่สรุปว่าพอร์ตไหนใน 7 พอร์ต จะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันหรือการเดิมพันการเลือกหุ้นลงทุน

สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจก็คือ นี่ไม่ใช่การชักชวนให้ซื้อหุ้นหรือกองทุนอะไรทั้งนั้น แม้ว่าผมเองก็ถือหุ้นดังกล่าวอยู่ด้วยอย่างมีนัยสำคัญและใกล้เคียงกับที่เสนอในพอร์ตที่จะใช้เดิมพัน ความเป็นจริงก็คือหุ้นทั้งหมดนั้นเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ หลายตัวมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท และทุกตัวมี Free Float สูงมาก

การที่จะมีใครไปทำราคาหรือแรงซื้อจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่จะไปทำให้ราคาเบี่ยงเบนไปจากพื้นฐานที่แท้จริงนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นี่เป็นพอร์ตที่จะถือเป็นระยะเวลายาวนานมาก ไม่มีการซื้อขายในระยะสั้นหรือแม้แต่ในระยะเวลาเป็นปี

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ผมจะไม่พนันกับใครเหมือนอย่างที่บัฟเฟตต์ทำ แต่ที่จริงผมก็พนันอยู่แล้วกับตลาดและตัวหุ้นถ้าพอร์ตหุ้นที่ผมเลือกโตขึ้นเหนือกว่าพอร์ตอื่น ผมชนะหรือกำไรอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่อยากจะพนันก็ทำได้อยู่แล้วโดยการลงทุนในพอร์ตที่เห็นว่าน่าจะชนะในระยะยาว ไม่ต้องมาพนันกับผม

ยึดผลตอบแทน “เงินบาท”

อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การวัดผลงานการเดิมพันในครั้งนี้ ผมจะยึดถือผลตอบแทนเป็นเงินบาทเสมอ และเพื่อเป็นสถิติที่ไม่ต้องกลับไปค้นอีก อัตราแลกเปลี่ยนวันนี้คือ 34.44 บาท เท่ากับ 1 ดอลลาร์ อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ฮ่องกง เท่ากับ 4.37 บาท และเงินเวียดนาม 1 ด่อง เท่ากับ 0.001442 บาท หรือ 1000 ด่องเท่ากับ1.442 บาท

ว่าที่จริงเกมดวลหุ้น” ครั้งนี้ ทุกคนสามารถที่จะเสนอหุ้นหรือกองทุนอื่น เข้ามาร่วมได้ ตัวอย่างเช่น อาจจะมีคนอยากที่จะท้าทาย” ด้วยหุ้นอินเดียหรืออินโดนีเซีย บางคนอาจจะเสนอหุ้นยักษ์ที่เป็นเมกะเทรนด์โลก 10 ตัว ที่มีกองทุนบริหารอยู่ น่าสนุกครับ แม้ว่าอาจจะต้องเล่นหรือรอนานมากกว่าเกมจะจบ