อเบอร์ดีนมองหุ้นไทยมีลุ้น 1,663 จุด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดึงฟันด์โฟลว์ไหลกลับ

บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย)

บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) มอง 4 ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย 6-12 เดือนข้างหน้าปรับตัวขึ้นต่อได้ ประเมินกรอบดัชนี 1,530-1,663 จุด เเนะลงทุน 4 ธีมเด่น “ท่องเที่ยว-เฮลท์แคร์-EV-อาหารและเครื่องดื่ม”

วันที่ 20 กันยายน 2566 นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) หรือ abrdn กล่าวว่า อเบอร์ดีนมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นต่อได้ใน 6-12 เดือนข้างหน้า จาก 4 ปัจจัยสนับสนุน ได้แก่

1.เศรษฐกิจที่คาดว่ายังเติบโตได้ดีจากแรงสนับสนุนของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้แตะ 27-30 ล้านคน ผนวกกับการบริโภคในประเทศที่ยังเติบโตได้ดี แม้ส่งออกจะฟื้นตัวช้ากว่าคาด และขาดเม็ดเงินลงทุนจากรัฐบาลช่วงระหว่างเปลี่ยนผ่านรัฐบาล โดยคาดการณ์จีดีพีปีนี้ยังโตได้ 3.1% หลังจากได้รัฐบาลใหม่แล้ว (ที่มา : abrdn, Bloomberg, TAT ข้อมูล ณ สิงหาคม 2566)

2.กำไรบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลังของปี 2566 คาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยกลุ่มที่ยังมี upside potential ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก

Advertisment

3.นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะทยอยออกมา จะเริ่มส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป

4.valuation หุ้นไทยยังถือว่าถูก ขณะที่ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย เมื่อเทียบจากดัชนีไทยหุ้นตั้งแต่ต้นปี และย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2562 ยังเป็นประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดในภูมิภาคนี้ จึงมองโอกาสที่เงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทย

สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2566 เป็นต้นมา เราเริ่มเห็นบางนโยบายที่ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุม และน่าจะเริ่มเดินหน้าผลักดันนโยบายได้ทันที ดังนี้ นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว ยกเลิกการขอวีซ่าในการเดินทางเข้าประเทศไทย สำหรับประเทศจีนและคาซัคสถาน

โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 และได้พูดคุยกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ททท. ฝ่ายความมั่นคง และการท่าอากาศยาน เพื่อเตรียมพร้อมทุกภาคส่วนให้พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอเบอร์ดีนเราประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวทุก ๆ 1 ล้านคนที่เพิ่มขึ้นจะหนุน GDP โตประมาณ 0.3%

Advertisment

นโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ทั้งลดค่าไฟฟ้า จาก 4.45 บาท เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเริ่มในรอบการชำระเงินเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป คาดใช้งบประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และลดราคาน้ำมันดีเซลให้ราคาต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยจะเริ่มได้ในวันที่ 20 กันยายน 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งคาดใช้งบประมาณอีก 1.5 หมื่นล้านบาท รวมทั้งสองส่วน คาดว่าจะช่วยทำให้เงินเฟ้อลดลง 0.2-0.3% และกรณี best case จะช่วยเพิ่ม GDP 0.2-0.3%

ขณะที่นโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้วยการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร และ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นระยะ 3 ปี มองว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของกลุ่มประชาชนที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีแผนเก็บภาษีขายหุ้นตลอดวาระ 4 ปี ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นไทย

ขณะเดียวกันยังคงมีนโยบายที่เรายังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น นโยบาย Digital Wallet 10,000 บาทต่อคน อาจต้องใช้เวลา เนื่องจากรัฐบาลต้องจัดการเรื่องรายละเอียดโครงการ และระบบ wallet คาดจะเริ่มใช้จริงก่อนสงกรานต์ปีหน้า

ส่วนนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะปรับขึ้นในอัตราเท่าไหร่ และจะปรับขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งเราคาดว่าหากจะมีการพิจารณาจริงก็น่าจะเป็นภายในปีหน้า มองการปรับขึ้นจะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหากปรับขึ้น 100 บาท คาดว่าจะส่งผลบวกสุทธิต่อ GDP ประมาณ 0.7%

ขณะเดียวกันมองหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว ขนส่งและโลจิสติกส์ ค้าปลีก ธนาคารและการเงิน รวมถึงกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม

“อเบอร์ดีนมองหุ้นไทย downside risk ค่อนข้างจำกัด ขณะที่ upside ยังเปิดอยู่พอสมควร ประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,530-1,663 จุด และคาดการณ์ EPS growth ของดัชนีหุ้นไทยปีนี้ -2% จากครึ่งปีแรก -25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด จึงมองครึ่งปีหลังนี้ต้องเห็นการเติบโตที่ดีกว่า โดยเฉพาะไตรมาส 4 มองกลุ่มธนาคาร, ค้าปลีก, ขนส่งและโลจิสติกส์, โรงแรม, ร้านอาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ น่าจะเห็นการเติบโตดีต่อจนถึงปีหน้า” นางสาวดรุณรัตน์กล่าว

สำหรับกองทุนหุ้นไทยของ บลจ.อเบอร์ดีน แนะนำ “ซื้อ” กองทุน ABSM โอกาสเติบโตต่อกับหุ้นขนาดกลาง-เล็กในไทยที่มีศักยภาพเติบโตสูง พร้อมก้าวเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคต เน้นลงทุนใน 4 ธีม ได้แก่ tourism, health & beauty, EV และ eating & dining โดยกองทุนบริหารจัดการในเชิงรุก ซึ่งในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงมาก่อนหน้าผู้จัดการกองทุนได้มีการปรับพอร์ต เก็บหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง ทั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth 2023 ของพอร์ตเติบโต 55.3% (ที่มา : abrdn, Bloomberg ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2023)

“ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาก่อนหน้านี้ ประกอบกับโอกาสการเติบโตในอนาคตของบริษัทที่อเบอร์ดีนเลือกลงทุน ทำให้คาดการณ์ว่ายังมี upside potential อยู่” นางสาวดรุณรัตน์กล่าว

ทั้งนี้กองทุน ABSM มีให้เลือกทั้งชนิดสะสมมูลค่า ได้แก่ ABSM กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมอล-มิดแค็พ-ชนิดสะสมมูลค่า และกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษี ได้แก่ ABSM-SSF กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมอล-มิดแค็พ-ชนิดเพื่อการออม และ ABSM-RMF กองทุนเปิด อเบอร์ดีน สมอล-มิดแค็พ เพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งใช้นโยบายการลงทุนแบบเดียวกัน (กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6)

โดยในปีนี้ ABSM สามารถคว้ารางวัลกองทุนหุ้นไทยยอดเยี่ยมแห่งปี 2566 จากการจัดอันดับโดยวารสารการเงินธนาคาร (ที่มา : วารสารการเงินธนาคาร, 13 มีนาคม 2566) มาครองได้สำเร็จ