SET Downside เริ่มจำกัด แนะนำหุ้นน่าเก็บ

ภาพโดย Romeo GACAD / AFP
คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

สวัสดีครับท่านนักลงทุน SET ปรับลงต่อเนื่อง หลุดทุกแนวรับ โดยมีแรงกดดันมาจากทั้งปัจจัยลบในประเทศ อาทิ กังวลเงินบาทอ่อนค่า และความไม่ชัดเจนของแหล่งเงินทุนสำหรับการทำนโยบายแจกเงินดิจิทัล เป็นต้น และปัจจัยลบต่างประเทศ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในสิ้นปีนี้ และยังคงนโยบายการเงินเข้มงวด โดยปรับคาดการณ์ dot plot ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงยาวนานขึ้น ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2006 และหุ้นทั่วโลกตกต่ำลง รวมถึงมีความเสี่ยงเรื่อง government shutdown

จึงทำให้มีแรงขายออกมาในหุ้นแทบทุกกลุ่ม นำโดยกลุ่มโรงไฟฟ้า (EA GPSC BGRIM) ธนาคารและสินเชื่อ (SCB KBANK MTC SAWAD) รวมทั้งหุ้นใหญ่ที่มีประเด็นลบเฉพาะตัวอย่าง DELTA ส่งผลให้เกิดแรงขายจาก 3 กลุ่มนักลงทุน ได้แก่ สถาบัน ต่างชาติและบัญชีหลักทรัพย์ (บล.)

โดยในส่วนของนักลงทุนต่างชาติพบว่า ตลอดเดือน ก.ย. มียอดขายสุทธิ 2.2 หมื่นล้านยาท นับเป็นการขายสุทธิใน SET ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ส่งผลให้ดัชนีไหลลงมาหลุด 1,500 จุด และทำจุดต่ำใหม่ในรอบกว่า 2 ปี โดยดัชนีลงมาเคลื่อนไหวแถวบริเวณ 1,430-1,440 จุด ซึ่งมองว่าเป็นบริเวณที่ downside เริ่มจำกัด และคาดจะกลับมาฟื้นตัวได้ ด้วยปัจจัยหนุน

1) คาดกำไรของตลาดไทยใน 2H66 น่าจะดีกว่า 1H66 โดยคาดจะเห็นการปรับขึ้นได้ดีที่สุดใน 4Q66

2) มองตลาดปรับลงสะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือน พ.ย. แล้ว และหากมีการส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ จะกลับมาเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดได้

และ 3) SET บริเวณ 1,420 จุด มองมีความน่าสนใจด้าน Valuation โดยหากอิงกำไรตลาดในปีหน้า SET จะเทรด P/E ที่ระดับ 14 เท่าแล้ว ดังนั้น ด้านกลยุทธ์การลงทุน จึงมองเป็นโอกาสในการซื้อสะสม

ADVERTISMENT

โดยแนะนำหุ้นน่าสนใจ ดังนี้ 1) TOP การกลั่น 3Q66TD ฟื้นตัวแข็งแกร่ง หนุนโดยส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน ดีเซล และเบนซิน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ TOP จะช่วยผลักดันผลประกอบการ อีกทั้งราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นยังหนุนผลประกอบการผ่านกำไรจากสต๊อกน้ำมัน

2) AOT มอง 4QFY66-1QFY67 กำไรมีแนวโน้มเติบโตดีจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของภาคท่องเที่ยวไทย อีกทั้งรัฐบาลมีแผนกระตุ้นภาคท่องเที่ยวไทยซึ่งจะหนุนให้กำไรแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นไม่มากและยังตามหลังหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มท่องเที่ยว

ADVERTISMENT

3) CPALL มอง 3Q66 คาดกำไรทรงตัว/เพิ่มขึ้น QOQ (สวนทางค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ลดลง QOQ) และเติบโต YOY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่โตต่อเนื่องในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ อีกทั้งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจาก CPAXT จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จ 4) BDMS ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งการดำเนินงานและกำไรมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 3Q66 (+YOY, +QOQ) จากรายได้จากบริการผู้ป่วยชาวต่างชาติและชาวไทยที่เติบโตเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดต่ำกว่าระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ยในอดีต

และ 5) KLINIQ หนึ่งในผู้นำคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามของไทย ซึ่งมีศักยภาพเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยปี’66-67 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 32% จากตลาด wellness ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ 3Q66 คาดสร้างสถิติทำกำไรสุทธินิวไฮ 74 ลบ. เติบโต 67% YOY

แล้วพบกันใหม่ ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี