ต่างชาติเทขาย “หุ้น-บอนด์” ประเทศไทย ไปแล้วกว่า 3 แสนล้าน

หุ้นตก

ต่างชาติขายสุทธิ “หุ้น-บอนด์” ประเทศไทย ไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท “สมาคมตราสารหนี้” ชี้กระจุกตัวในบอนด์สั้น จับตาเหลืออยู่อีก 82,000 ล้านบาท ตลท.ชี้ต่างชาติขายหุ้นไทยเป็นเดือนที่ 8 ไหลกลับซบบอนด์หรัฐฯ-เงินดอลล่าร์ 

วันที่ 7 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานความเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ในตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ไทย พบว่า ผ่านไปแล้ว 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ “หุ้นไทย-บอนด์ไทย” รวมกันไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท ประกอบด้วย

หุ้นไทย 1.57 แสนล้าน

  • ไตรมาส 1 ขายสุทธิ 56,876 ล้านบาท
  • ไตรมาส 2 ขายสุทธิ 56,876 ล้านบาท
  • ไตรมาส 3 ขายสุทธิ 56,876 ล้านบาท

บอนด์ไทย 1.47 แสนล้าน

  • ไตรมาส 1 ขายสุทธิ 22,666 ล้านบาท
  • ไตรมาส 2 ขายสุทธิ 58,402 ล้านบาท
  • ไตรมาส 3 ขายสุทธิ 66,581 ล้านบาท

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า กระแสฟันด์โฟลว์ที่ไหลอออกในบอนด์ไทย ถือว่ามากที่สุดจากสถิติในรอบ 8 ปี นับจากปี 2558 ที่พบว่ามีฟันด์โฟลว์ไหลออกไปประมาณ 110,130 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติจนถึงสิ้นไตรมาส 3/2566 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.6% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย หรือคิดเป็นมูลค่ารวมอยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท

ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2558 ที่มีสัดส่วนต่ำสุดที่ราว 5.6% เช่นกัน แต่มูลค่าอาจเพิ่มขึ้นจากเดิมที่อยู่ระดับ 5 แสนล้านบาท เนื่องจากขนาดตลาดตราสารหนี้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตามตราสารหนี้ไทยที่ต่างชาติถือครองมีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ 8.3 ปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 8 ปี เมื่อสิ้นปีที่แล้ว

จับตาบอนด์สั้น 8.2 หมื่นล้าน

“คาดว่าสาเหตุที่ฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยนั้น เนื่องจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นหลัก ซึ่งเชื่อว่าแรงกดดันดังกล่าวกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดนกันทุกประเทศ ประกอบกับในระยะสั้นยังมีความกังวลเรื่องซัพพลายพันธบัตรรัฐบาล”

ADVERTISMENT

ขณะที่แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีสัญญาณฟันด์โฟลว์ที่จะไหลออกไปเกิน 1.5 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งปัจจุบันมีเหลืออยู่มูลค่าประมาณ 82,000 ล้านบาท

ต่างชาติขายหุ้นไทยเป็นเดือนที่ 8

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยสิ้นเดือน ก.ย. 2566 ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,471.43 จุด ปรับลดลง 6% จากเดือนก่อนหน้า เป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีหลักทรัพย์อื่น ๆ ในภูมิภาค และปรับลดลง 11.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า

ADVERTISMENT

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 49,462 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 34.1% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 9 เดือนแรกปี 66 อยู่ที่ 56,218 ล้านบาท

โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 8 โดยในเดือน ก.ย. 2566 ขายสุทธิไปกว่า 22,436 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปยังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯและเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ รวมถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน

จึงทำให้เห็นสัญญาณเงินทุนไหลออกจากหลายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียและทำให้เงินสกุลต่าง ๆ ปรับตัวอ่อนค่า โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่ปรับลดลงมาก อย่างไรก็ดีนักลงทุนต่างชาติยังรอจังหวะการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยด้วยเหตุผลหลายประการ

เช่น ความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางค่าเงินบาท รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

1-2 สัปดาห์ ต่างชาติปรับสมดุลตลาดการเงิน

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ ในเชิงกลไกแล้วถือว่าเป็นภาวะที่เกิดจากการ ”ปรับสมดุลในตลาดการเงิน” โดยจุดเริ่มต้นเกิดจากเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก

ซึ่งมาจากเหตุผลของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขตลาดแรงงานออกมาแข็งแกร่ง ทำให้ตลาดทุนมองว่าการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยสูงไว้ที่ 5.5% ยาวไปจนถึงกลางปี 2567

“บอนด์ยีลด์สหรัฐแทบทุกอายุ ไม่ว่าจะอายุ 2 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายทั้งหมด โดยบอนด์ยีล์ด์สหรัฐ 10 ปี ตอนนี้ไม่ถึง 5% ฉะนั้นเมื่อมองแล้วเฟดจะคงดอกเบี้ยยาว ๆ สิ่งที่บอนด์ยีลด์สะท้อนก็คือ ต้องพยายามปิด gap ช่องว่างตรงนี้ และวิ่งขึ้นมาให้ใกล้ดอกเบี้ยนโยบายมากที่สุด“

และสิ่งที่ลามมากระทบตลาดทุนไทยก็คือ เมื่อบอนด์ยีลด์สหรัฐขึ้นแรง เกิดอาการเปรียบเทียบระหว่างบอนด์ยีลด์สหรัฐกับบอนด์ยีลด์ไทย gap มีความห่างขึ้น จึงส่งผลให้นักลงทุนเทขายบอนด์ตัวที่ผลตอบแทนต่ำ แล้วไปซื้อตัวที่ผลตอบแทนสูง

ส่งผลทำให้ ”เงินไหลออก“ กระทบทำให้ ”เงินบาทอ่อนค่า” และเมื่อเงินบาทอ่อนค่า ในมุมของนักลงทุนต่างชาติ ไม่กล้าเอาเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะถ้าเข้ามาจะโดน FX Loss ทันที ส่วนต่างชาติที่ลงทุนอยู่แล้วก็ต้องมีการขายออกไป

นำมาซึ่งความกังวลว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันกว่า 1.6 แสนล้านบาท และไปกดดัชนี SET Index ปรับตัวลง

ถามว่าทำไมดัชนี SET Index ต้องผันผวนแรงขนาดนี้ ก็พบว่ามีเหตุกระตุ้นคือ โครงสร้างการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ตอนนี้เป็น Program Trade ประมาณ 35% ซึ่งประมาณ 1 ใน 3 ของโปรแกรมเทรดคือ High Frequency Trading (HFT) คือการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความถี่สูง เวลาเห็นสัดส่วนที่มีลักษณะแบบนี้มาก ๆ เวลามีการเบรกจุดที่สำคัญ ๆ มักจะเห็นอาการขายตามลงมา ซึ่งตรงนี้เป็นตัวที่เร่งให้เกิดความเร็วมากขึ้นในการปรับฐาน

และพอเห็นดัชนี SET Index หลุดลงมาถึงระดับหนึ่งแล้ว ทางกลไกของมาร์จิ้นจะทำหน้าที่ Margin Call กับ Force Sell ซึ่งมีผลทำให้การเปลี่ยนแปลงชัดเจนและแรงมากขึ้น

ประเมินแล้วการปรับสมดุลในตลาดการเงินครั้งนี้ น่าจะกินเวลาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่เริ่มเห็นค่าเงินบาทเริ่มนิ่ง จะสะท้อนว่าการปรับสมดุลในตลาดการเงินเริ่มจะจบแล้ว และผลกระทบต่อตลาดที่จะเห็นจากตรงนั้นจะเป็นการสะท้อนภาพปัจจัยพื้นฐานได้มากขึ้น

ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่เทรดดิ้งระยะสั้น ”เสี่ยง“ แต่สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินเย็น และสามารถที่จะซื้อและถือยาวได้ มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน โดยโซนดัชนี SET Index ตอนนี้ถือว่าราคาถูก และมีปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานค่อนข้างเป็นบวก