กรุงศรีประเมินกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 35.80-36.55 บาท/ดอลลาร์

เงินบาท-US dollar

กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 35.80-36.55 บาทต่อดอลลาร์ ติดตามประชุม “บีโอเจ-เฟด”

วันที่ 30 ตุลาคม 2566 กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงศรีมีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ (30 ต.ค.-3 พ.ย.) ว่าเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 35.80-36.55 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 36.20 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 36.06-36.55 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐยังคงบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4% หลังปรับขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 10 ครั้งติดต่อกัน โดยประธานอีซีบีส่งสัญญาณว่าจะคงนโยบายการเงินไว้ตามเดิมต่อไป ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอในยูโรโซน แต่หากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ

               

นอกจากนี้ อีซีบีไม่ได้หารือกันเกี่ยวกับการเลื่อนเวลายุติ Reinvestments ในโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโรคระบาด (PEPP) ให้เร็วขึ้นจากเดิม

ทั้งนี้ สหรัฐรายงานจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัว 4.9% ซึ่งสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 2,598 ล้านบาท แต่มียอดซื้อพันธบัตร 9,695 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 2,598 ล้านบาท แต่มียอดซื้อพันธบัตร 9,695 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่าตลาดจะให้ความสนใจกับผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ซึ่งอาจมีการปรับนโยบาย Yield Curve Control (YCC) เพิ่มเติมในวันที่ 31 ต.ค. ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ในวันที่ 1 พ.ย. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การประชุมเฟดเมื่อเดือน ก.ย. และนักลงทุนไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่สูงมากไว้ได้ในระยะข้างหน้า

นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) จะคงดอกเบี้ยที่ 5.25% โดยท่าทีการสื่อสารของธนาคารกลางหลักหลายแห่งดังกล่าว และข้อมูลการจ้างงานเดือน ต.ค.ของสหรัฐมีแนวโน้มสร้างความผันผวนให้กับอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจกระตุ้นให้ทางการญี่ปุ่นตัดสินใจเข้าพยุงค่าเงินเยน โดยเฉพาะในกรณีที่บีโอเจคงนโยบาย YCC ไว้ตามเดิม