กรุงศรีฯ คาดซื้อขาย 34.50-35.40 บาท/ดอลลาร์ จับตัวเลขภาคบริการ-จ้างงานสหรัฐ

ค่าเงินบาท เงินบาท วิเคราะห์

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินเงินบาทซื้อขายในกรอบ 34.50-35.40 บาทต่อดอลลาร์ ระบุนักลงทุนจับตาดัชนีภาคบริการ-ข้อมูลจ้างงานเดือนพฤศจิกายนของสหรัฐ หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ และราคาทองคำที่มีผลต่อเงินบาทผันผวน

วันที่ 4 ธันวาคม 2566 กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-35.40 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 35.07 บาทต่อดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 34.58-35.37 บาทต่อดอลลาร์

โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ยกเว้นยูโรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนครึ่ง หลังจากหนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความเห็นว่าดอกเบี้ยนโยบายในเวลานี้อยู่ในระดับที่เข้มงวดมากพอแล้ว และมองว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในช่วงหลายเดือนข้างหน้ากรณีที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย และการลดดอกเบี้ยจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับความพยายามที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ ท่าทีดังกล่าวนับเป็นสัญญาณแรกที่นักลงทุนได้รับจากเฟดเกี่ยวกับแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบาย

อีกทั้งเพิ่มความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะ Soft Landing โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐดิ่งลง ขณะที่ตลาดล่วงหน้าบ่งชี้ว่าเฟดอาจจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกเร็วขึ้นเป็นเดือนมีนาคม 2567 ส่วนดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการปรับขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564

สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่านักลงทุนจะติดตามดัชนีภาคบริการและข้อมูลจ้างงานเดือนพฤศจิกายนของสหรัฐ เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยเฟดต่อไป หลังจากบอนด์ยีลด์สหรัฐร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหากข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง ขาลงของค่าเงินดอลลาร์จะเปิดกว้างมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอาจผันผวนสูงกรณีตัวเลขออกมาในเชิงผสมผสาน นอกจากนี้ ราคาทองคำในตลาดโลกจะมีผลต่อค่าเงินบาทเช่นกัน

สำหรับปัจจัยในประเทศ กนง.คงดอกเบี้ยด้วยเสียงเอกฉันท์ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้ กนง.คาดว่าจีดีพีปี 2566 จะขยายตัว 2.4% จากเดิมคาดไว้ 2.8% ส่วนเศรษฐกิจปี 2567 มีแนวโน้มเติบโต 3.2% หากไม่รวมผลของโครงการ Digital Wallet แต่ถ้ารวมผลของโครงการดังกล่าวคาดว่าจะขยายตัว 3.8% ลดลงจาก 4.4% ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ท่าทีดังกล่าวสนับสนุนมุมมองของเราที่ว่า กนง.จะตรึงดอกเบี้ยไว้ตลอดหลายไตรมาสข้างหน้าแต่พร้อมปรับนโยบายตามปัจจัยภายในและต่างประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงไป