เงินบาทแตะจุดแข็งค่าสุดรอบใน 4 เดือน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า

baht notes-ธนบัตร
REUTERS/Athit Perawongmetha/File Photo

เงินบาทลดช่วงบวกบางส่วน หลังแตะจุดแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงจากสัปดาห์ก่อน ก่อนอ่อนค่ากลับมาหลังการประชุม กนง. ขณะที่เงินดอลลาร์ฟื้นตัวได้เล็กน้อยตามบอนด์ยีลด์สหรัฐ SET Index ปรับตัวลงต่อ จากความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจไทยและผลกระทบจาก MSCI Rebalance จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ย.ของไทย รวมถึงสัญญาณเงินทุนต่างชาติ

วันที่ 3 ธันวาคม 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือนที่ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะกลับมาทยอยอ่อนค่าลงช่วงปลายสัปดาห์ เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามภาพรวมของสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชียท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ หลังจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดเริ่มสะท้อนท่าทียอมรับว่าวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐอาจจะสิ้นสุดไปแล้ว

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังมีปัจจัยกดดันจากการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐ และตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือน ต.ค.ของสหรัฐ ซึ่งปรับตัวลงมากกว่าที่คาดด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เงินบาทอ่อนค่ากลับมาบางส่วน หลัง กนง.มีการปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2566-2567 ลงมาในการประชุมวันที่ 29 พ.ย. ประกอบกับมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการกลับมาขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย หลังเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายส่งสัญญาณว่า เฟดยังไม่มีการพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปีหน้า

กราฟเงินบาท3 ธ.ค.66

ในวันศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.09 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับ 35.49 บาทต่อดอลลาร์ในวันศุกร์ก่อนหน้า (24 พ.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 27 พ.ย.-1 ธ.ค. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 5,912.2 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 4,508.9 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 4,505.4 ล้านบาท และมีตราสารหนี้หมดอายุ 3.5 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (4-8 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ย.ของไทย รวมถึงสัญญาณเงินทุนต่างชาติ

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน และอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ต.ค. ดัชนี ISM/PMI ภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือน พ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคบริการเดือน พ.ย.ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงตัวเลขการส่งออกเดือน พ.ย. ของจีนด้วยเช่นกัน

กราฟหุ้นไทย 3 ธันวาคม 66

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้หุ้นไทยขยับขึ้นช่วงสั้น ๆ ต้นสัปดาห์ โดยมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐ ก่อนจะทยอยปรับตัวลงในเวลาต่อมา โดยมีปัจจัยลบ อาทิ ความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยหลัง กนง.ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้และปีหน้าลง แม้จะมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.50% ก็ตาม การปรับ MSCI Rebalance ซึ่งมีผลในวันที่ 30 พ.ย. ประกอบกับแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ แรงขายต่อเนื่องของหุ้นผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานก็ยังคงมีส่วนกดดันดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน

ในวันศุกร์ที่ 1 ธ.ค. ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,380.31 จุด ลดลง 1.23% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,744.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.39% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.64% มาปิดที่ระดับ 397.61 จุด

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (4-8 ธ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,375 และ 1,360 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,410 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ย.ของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM/PMI ภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือน พ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือน พ.ย.ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซน ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนตัวเลขนำเข้าและส่งออกเดือน พ.ย.ของจีน