หนี้เสียรถยึดทะลัก 2 แสนคัน ฉุดราคารถมือสองฮวบ 20%

รถมือสอง

มหกรรมหนี้เสีย “รถยนต์” พุ่ง 20% ยักษ์ลานประมูลประเมินยอดรถยึดปี’66 ทะลัก 2.5 แสนคัน สต๊อกรถมือสองล้นตลาด กดราคาตกฮวบ 20% “แอพเพิล ออโต้” เชื่อปัจจัยอีวียังไม่กระทบคนซื้อมือสอง ชี้คนละกลุ่มลูกค้า ฟากแบงก์ขันนอตปล่อยสินเชื่อ ดันยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่ม 15%

รถยึดทะลัก 2.5 แสนคัน

นายอนุชาติ ดีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอพเพิล ออโต้ จำกัด ยักษ์ประมูลรถมือสอง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มรถยึดไหลเข้าลานประมูลในปี 2567 ประเมินอยู่ที่ราว 2 แสนคัน แม้ว่าจะลดลงจากปี 2566 ที่อยู่ประมาณ 2.5 แสนคัน ส่วนหนึ่งที่ยอดรถยึดปรับลดลงในปีหน้า เนื่องจากสถาบันการเงินเร่งช่วยลูกหนี้ในการปรับโครงสร้าง และการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในปีนี้ ทำให้คุณภาพสินเชื่อปรับดีขึ้น ทำให้โอกาสลูกหนี้ที่จะเป็นหนี้เสียน้อยลง เพราะถูกคัดกรองตั้งแต่แรก

อย่างไรก็ดี แม้ว่ายอดรถยึดในปี 2567 ปรับลดลง แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงปกติที่จะมีรถยึดไหลเข้าลานประมูลเพียงประมาณ 1.7-1.8 แสนคัน

ทั้งนี้ลูกหนี้ที่ไหลเข้าลานประมูลในปีหน้าจะเป็นลูกหนี้ในอดีตที่ค้างก่อนหน้าที่ตกชั้นเพิ่มเติม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค้างชำระ 1 งวด หรือ 2 งวด ผ่อนเลี้ยงค่างวดประคองตัวมาได้ แต่เริ่มไม่ไหว ยอมรับว่าตัวเลขรถยึดอาจจะสูงกว่า 2 แสนคันได้ หากแบงก์กลับมาเร่งปล่อยและแข่งขันกันสูง

ปี’67 เฝ้าระวังหนี้ตกชั้น

อย่างไรก็ดี แนวโน้มคุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อทั้งในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) และสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) หรือค้างชำระเกิน 30 วัน แต่ไม่ถึง 90 วัน ยังคงเป็นประเด็นปัญหาต่อเนื่องในปี 2567 ที่ต้องเฝ้าระวังการตกชั้นของหนี้ ซึ่งจะมีผลต่อจำนวนรถยึดที่ไหลเข้าลานประมูล รวมถึงการแข่งขันของผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อ หากมีการเร่งปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น ภายใต้เศรษฐกิจแม้จะดีขึ้น แต่ยังคงกระจายไม่ทั่วถึง ทำให้ลูกค้าที่ไม่แข็งแรงอาจถูกกระทบได้

นายอนุชาติกล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าในปี 2567 มีรถยึดเข้าลานประมูลอยู่ที่ 8 หมื่นคัน หรือเติบโตประมาณ 7% คิดเป็นเม็ดเงินอยู่ที่ 500-600 ล้านบาท จากปี 2566 คาดว่ายอดขายรถยึดจะอยู่ที่ 6.5 หมื่นคัน โดยจะเป็นการทยอยขาย และทยอยยึดเข้าลานประมูล โดยอัตราการไหลออกของรถเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70% ของอัตราการไหลเข้า ถือว่าทรงตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่มาก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตรถสะสมอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 คัน จากลานประมูลที่มีอยู่ 27 แห่งทั่วประเทศ และยังคงส่วนแบ่งตลาดประมาณ 23% เป็นอันดับ 2 ของธุรกิจประมูลรถ

ADVERTISMENT

อีวีจีนกระทบรถมือสองไม่มาก

นายอนุชาติกล่าวถึงกรณีกระแสความแรงของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มาแรง และระดับราคาจูงใจมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถมือสองว่า มีผลกระทบต่อตลาดรถมือสองค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าคนละกลุ่ม โดยกลุ่มที่ซื้อรถมือสอง เป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง-ล่าง และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ยังต้องพึ่งพาการขอสินเชื่อจากไฟแนนซ์ในการซื้อรถ ซึ่งแตกต่างจากคนที่ซื้อรถอีวี จะเป็นกลุ่มคนที่มีเงิน และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสถาบันการเงิน เพราะส่วนใหญ่ซื้อรถอีวีเป็นรถคันที่สอง และมีความพร้อมในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อยู่แล้ว

หากดูราคารถมือสอง เมื่อเทียบกับราคารถอีวี แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์จะปรับลดราคาลงมาเพื่อชิงมาร์เก็ตแชร์ แต่จะเห็นว่าลูกค้ามีความแตกต่างกัน กรณีลูกค้าที่ต้องการซื้อรถยนต์มือสองราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2-4 แสนบาท ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีเงินดาวน์ หรือวางเงินดาวน์น้อยเพียง 2 หมื่นบาท และชำระค่างวดรถเฉลี่ย 4,500-5,000 บาทต่อเดือน เมื่อเทียบกับรถอีวี อย่างน้อยจะต้องวางดาวน์ 15% หรือประมาณ 9 หมื่นบาท และค่างวดผ่อนชำระมากกว่า 6,000 บาทต่อเดือน กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถยนต์มือสองลักษณะจะแตกต่างจากรถอีวี

“ในอนาคตยอมรับว่ารถอีวีอาจจะมาทดแทนตลาดรถมือสองได้บางส่วน แต่ไม่ใช่ภายใน 1-2 ปีนี้ เพราะกลุ่มลูกค้าแตกต่างชัดเจน ซึ่งคนที่ซื้อรถมือสองเป็นกลุ่มที่มีภาระทางการเงินสูง และยังต้องพึ่งพาการกู้เงิน ค่างวดไม่สูง แต่คนที่ซื้อรถอีวีไม่ไมนด์เรื่องการหาไฟแนนซ์ และปัจจุบันยอดขายรถใหม่สัดส่วนเป็นรถอีวียังน้อย และคนที่ซื้อรถอีวีต้องยอมรับความเสี่ยงเรื่องของแบตเตอรี่ให้ได้ด้วย เพราะจะเห็นว่าราคารถอาจจะปรับลดลง 30% จากราคาซื้อ”

รถยึดล้นสวนกระแสกำลังซื้อหด

ขณะที่นายชุมพล กิตติชัยสมบัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามอินเตอร์ การประมูล จำกัด หรือ SIA เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทิศทางรถยึดเข้าลานประมูลในปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นคันต่อเดือน จากปี 2566 ยอดรถยึดเฉลี่ยอยู่ที่ 2 หมื่นคันต่อเดือน โดยยอดรถยึดที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีรถยึดเข้าสู่ลานประมูลมากขึ้น

อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มรถยึดที่ไหลเข้าสู่ลานประมูลค่อนข้างเยอะในช่วงก่อนหน้า ภายใต้กำลังซื้อที่มีจำกัด ทำให้ตลาดเป็นของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคจะสามารถเลือกซื้อรถมือสองในราคาที่ต่ำลงจากราคาเดิม เช่น ราคาประมูลเดิมอยู่ที่ 70-80% ของราคารถที่ตั้งไว้ อาจจะลดลงเหลือเพียง 50% ของราคารถตั้งไว้ในส่วนของรถที่ตกรุ่น ซึ่งราคารถอาจขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินในการตั้งราคาด้วย

สำหรับเป้าหมายในปี 2567 ของบริษัท คือรักษาส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 3 ในแง่ของผลกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้น 100% รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ สำหรับปี 2566 ยอดขายรถยึดเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 คันต่อเดือน โดยมียอดรถสะสมในสต๊อกอยู่ที่ 1.5 หมื่นคัน

“ยอดรถยึดในปีหน้าคงไม่ได้ลดลง หากดูจากข้อมูลหนี้ครัวเรือน จะเห็นว่าสินเชื่อรถยนต์ยังมีหนี้เสีย และตัวเลข SM สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น เราคงเห็นรถยังไหลเข้ามาในลานประมูลต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาวะซัพพลายเยอะกว่าดีมานด์ ดังนั้นในปีหน้าอาจเห็นบางช่วงที่สถาบันการเงินชะลอการยึดรถได้”

รถมือสองราคาตกฮวบ 20%

นายวิสิทธิ์ พึ่งพรสวรรค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มราคารถมือสองจะเห็นว่าปรับลดลงเฉลี่ย 10-20% หากเป็นรถยนต์ญี่ปุ่นจะลดลง 10-15% และรถยุโรป 15-20% ซึ่งปัจจัยที่กดดันราคารถมือสองลดลงมาจากปัจจัยรถยึดที่เข้าลานประมูลค่อนข้างเยอะ ทำให้สต๊อกรถล้น ประกอบกับสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อยากขึ้น ทำให้คนที่ต้องการซื้อรถไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ จึงเป็นเรื่องของดีมานด์และซัพพลาย ส่วนปัจจัยเรื่องรถอีวี ยังมีผลค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีสัดส่วนยอดขายเพียง 5-7% เท่านั้น

ปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น 5-15%

ทั้งนี้ หากดูยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-15% จากเดิมรถใหม่ยอดปฏิเสธจะอยู่ที่ 10% และรถเก่าจะอยู่ที่ 15-20% โดยสถาบันการเงินจะเข้มงวดในการอนุมัติมากขึ้น เช่น จากเดิมจะพิจารณาจากรายได้และประวัติข้อมูลเครดิตย้อนหลังเฉลี่ย 6-12 เดือน ปัจจุบันจะดูประวัติย้อนหลังมากกว่า 12-24 เดือน รวมถึงอาชีพผู้กู้ด้วย

นายวิสิทธิ์กล่าวว่า สถาบันการเงินจะมีการทบทวนพอร์ตสินเชื่อของตัวเอง เพื่อลดกลุ่มเสี่ยง และบริหารจัดการหนี้เสียไม่ให้เร่งตัวขึ้น รวมถึงการดูแลลูกค้าที่เริ่มส่งสัญญาณแบบจ่าย 1 งวดสลับค้างชำระ 2 งวด โดยสถาบันการเงินเข้าไปช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้นแทนการยึดรถ เพราะการยึดรถจะมีผลขาดทุนค่อนข้างเยอะ

ยอดหนี้เสียยังคงเห็นทิศทางเพิ่มขึ้น โดยสถาบันการเงินขันนอตความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อตั้งแต่ต้นปี ทำให้น้ำดีที่เกิดจากการขันนอตปล่อยกู้ จะเริ่มเห็นผลในช่วงต้นไตรมาส 3 ปีหน้า ทำให้แบงก์เริ่มน่าจะกลับมาปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หรือคลายความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่เรื่องของหนี้เสีย และตัวเลข SM ยังเป็นสิ่งที่แบงก์ยังให้ความระมัดระวัง

หนี้เสีย-SM รถยนต์ไหลเพิ่ม

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ณ ไตรมาส 3/2566 ของสินเชื่อรถยนต์มีอัตราเติบโตสูงถึง 20.9% อยู่ที่ 2.07 แสนล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ 1.71 แสนล้านบาท ในแง่จำนวนบัญชีเพิ่มจาก 6.39 แสนบัญชี เป็น 6.94 แสนบัญชี หรือเติบโต 8.6% สะท้อนว่าหนี้เสียกลุ่มรถยนต์ยังคงเป็นปัญหาอยู่ และมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจยังขยายตัวต่ำ ปัญหาค่าครองชีพ อาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้

ขณะที่ตัวเลขสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) หรือค้างชำระตั้งแต่ 31 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน ของสินเชื่อรถยนต์มีอัตราการเติบโต 17.5% มียอดสินเชื่อจาก 1.81 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 2.13 แสนล้านบาท และมียอดจำนวนบัญชีเพิ่มจาก 4.87 แสนบัญชี เป็น 5.60 แสนบัญชี เติบโต 15.0%