
สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนมองหุ้นไทย ปี’67 แกว่งตัว กรอบ 1,340-1,612 จุด เชื่อเศรษฐกิจดี-ดอกเบี้ยโลกลด แนะกระจายพอร์ตลงทุน
วันที่ 8 นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยถึง ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก ประเมินได้ว่าหุ้นไทย SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นไปปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1,476 จุด และเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1,340 ถึง 1,612 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2567 ที่ 1,590 จุด และการขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 ที่ 3.33%
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567 ปัจจัยบวก ได้แก่ผลประกอบการของ บจ.ปี’67 และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาตามมาด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศ และ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย
อีกหนึ่งปัจจัยหนุนของตลาดหุ้นไทยปี 2567 คือเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน Thai ESG ที่คาดว่าจะสามารถแตะที่ระดับ 10,000 ล้านบาทได้ หลังปีก่อนทำได้ราว 6,000 ล้านบาท ซึ่งรอบนี้เชื่อว่านักลงทุนที่อยู่ระหว่างการศึกษาจะตัดสินใจลงทุนได้ เนื่องจากภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ดีขึ้นจากปีก่อน
ขณะที่ปัจจัยด้านลบ นำมาจากการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับเดิม คือ 2.50% และมองว่าจะลงไปที่ 2.25%
ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยที่ 95.62 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ ที่ 99.47 บาทต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.32%
โดยนักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 8.96%, กองทุนตราสารหนี้ 25.63%, หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.67% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.79%, กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 9.17%, ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.75% สินทรัพย์อื่น ๆ เช่น Bitcoin, น้ำมัน 1.03%
โดยความเห็นต่อการลงทุนต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และ Selective Asia เช่น เกาหลี และเวียดนาม
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก อาหาร เงินทุน/หลักทรัพย์ และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ รายที่มีหนี้สูง และธุรกิจประกัน
สำหรับรายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป พร้อมประเด็นหลักสนับสนุน มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1. AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดีขึ้น โดยในปี 2567 คาดนักท่องเที่ยว 34.5-35 ล้านคน จากปี 2566 ที่ 27-28 ล้านคน คาดว่าจะเห็นมาตรการรัฐสนับสนุนเพิ่มเติม และนอกจากผลประกอบการจะฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ยังอยู่ระหว่างศึกษาการปรับขึ้นค่า PSC และการเก็บค่า Transit/Transfer รวมถึงการรอรับโอน 3 สนามบินจากกรมท่าอากาศยาน
2. CPALL โดยได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว High Season และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล Easy E-Receipt ตลอดจนการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึง Digital wallet ในปี 2567 ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย
3. CPN โดยมองว่า ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งยังมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในระยะยาว มองเป็นหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าของกองทุน ThaiESG
4. GPSC ปัจจัยสนับสนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลง และคาดกำไรปี 2567 โต 31% ฟื้นตัวตามค่าไฟที่คาดทยอยปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลง
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง/เพิ่มทุน
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ มาตรการลดค่าครองชีพ อย่างไรก็ตามเรื่องนโยบายแจกเงินนั้นอยากให้เปลี่ยนเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภค (คล้ายคนละครึ่ง) หรือนโยบายช้อปช่วยชาติ
และตามมาด้วย เสนอนโยบายด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ เร่งแผนยกระดับศักยภาพการผลิตไทย ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศเกี่ยวกับ New technology และ ESG