เปิดข้อมูลหุ้นกู้ เซ็กเตอร์ไหน “เสี่ยงมากที่สุด”  

money

เปิดข้อมูลหุ้นกู้ เซ็กเตอร์ไหน “เสี่ยงมากที่สุด”  พร้อมจับตากลุ่มรับเหมาก่อสร้าง-อสังหาฯ-ปิโตรเคมี กังวลธุรกิจผันผวน

วันที่ 23 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา เกิดวิกฤตตลาดหุ้นกู้ขอเลื่อนจ่ายหนี้ หลังมีกระแสข่าวหุ้นกู้ขาดสภาพคล่องและขอเลื่อนจ่าย ทั้งบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD จากหุ้นกู้จำนวน 5 รุ่น (ที่ประชุมหุ้นกู้ 4 รุ่นอนุมัติเลื่อนจ่ายหนี้ไปอีก 2 ปี แต่เหลือหุ้นกู้อีก1 รุ่นที่จะมีการประชุมวันที่ 30 ม.ค.นี้) และบริษัท สยามนุวัตร จำกัด หรือ SNW ที่เสนอผู้ถือหุ้นกู้เลื่อนจ่ายหุ้นกู้ 3 รุ่น ไป 1 ปี เป็นปี 68 ส่งผลให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นอีกว่า บริษัทที่ออกหุ้นกู้รายอื่น ๆ จะเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้อีกหรือไม่ ?

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ได้รวบรวมข้อมูลหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดปี 2567 เป็นต้นไป มีทั้งสิ้น 16 หุ้นกู้ ดังนี้

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง บริษัทที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ NWR และ ITD เพราะมีหุ้นกู้ครบกำหนดปีนี้ค่อนข้างมาก ในขณะที่ธุรกิจหลักยังมีผลขาดทุน และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงมาก ส่วน UNIQ และ SQ ซึ่งมีเครดิตเรตติ้ง BBB- และมีฐานกำไรต่ำ ก็ต้องให้ความระมัดระวังเช่นเดียวกัน

กลุ่มปิโตรเคมี

มีความเสี่ยงปานกลาง บริษัทที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ IVL (AA-) เพราะหนี้รวมค่อนข้างสูงถึง 8.4 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจยังมีความผันผวนด้านกำไรเพราะอิงกับราคา commodity ซึ่งแปรผันตามเศรษฐกิจ ต้องให้ความระมัดระวัง

กลุ่มอสังหาฯ (พัฒนาที่อยู่อาศัยและเพื่อเช่า)

มีความเสี่ยงปานกลาง แม้ปีนี้มีหุ้นกู้ครบกำหนดสูง 1.06 แสนล้านบาท (สัดส่วน 35% ของหุ้นกู้ทั้งหมด) แต่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น LH, CPN, FPT, SIRI, SPALI, PSH และ AP ที่มีธุรกิจ มั่นคง การเงินค่อนข้างดี

ADVERTISMENT

สำหรับบริษัทที่มีผลขาดทุน และอัตราหนี้สินต่อทุนสูงกว่ากลุ่มฯ อย่าง ANAN ปีนี้มีหุ้นกู้ครบ 7 พันล้านบาท ได้คืนสำหรับเดือน ม.ค. แล้ว 3.8 พันล้านบาท ที่เหลือ 3.2 พันล้านบาท จะครบ ก.ค. 2567 ส่วน PF ปีนี้ครบรวม 6.7 พันล้านบาท เตรียมคืนหุ้นกู้ 1Q67 รวม 2.68 พันล้านบาท เรียบร้อยแล้ว สำหรับหุ้นกู้ ที่เหลือต้องติดตามต่อไป

กลุ่มมีเดีย

มีความเสี่ยงต่ำ ไม่มีหุ้นกู้ครบกำหนดในปีนี้ และบริษัทในกลุ่มที่ฝ่ายวิจัย วิเคราะห์มีฐานะการเงินค่อนข้างดี กลุ่มบรรจุภัณฑ์ : มีความเสียงต่ำ โดยบริษัทในกลุ่มที่ฝ่ายวิจัยวิเคราะห์คือ SCGP มี ฐานะการเงินดี และมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง

ADVERTISMENT

กลุ่มขนส่ง

มีความเสี่ยงต่ำ บริษัทที่ออกหุ้นกู้อยู่ในธุรกิจขนส่งมวลชนอย่าง BTS และ BEM มีเครดิตเรตติ้งสูง และมีกระแสเงินสดเข้ามาสม่ำเสมอ มีอายุหุ้นกู้ยาว และกระจายตัวครบกำหนดในแต่ละปี ไม่กระจุกตัวในปีใดปีหนึ่งเป็นพิเศษ

กลุ่มการแพทย์

ไม่มี concern ที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากมีเพียง BDMS ตัวเดียวที่ออกหุ้นกู้ โดยครบกำหนดชำระจำนวน 1.5 พันล้านบาท ในปี 2567 จากมูลค่ารวม 6 พันล้านบาท ซึ่งมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพียงพอในการ service debt. Interest coverage ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มากกว่า 40.3 เท่า

กลุ่มพลังงาน

โดยภาพรวมมีความเสี่ยงต่ำ แม้ปีนี้มีหุ้นกู้ครบกำหนดสูงถึง 6.0 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากบริษัทในกลุ่มมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจดี เกือบทุกบริษัทมีเครดิตเรตติ้งสูง PTT (AAA), PTTEP (AAA) มีเพียง BANPU ที่มีหนี้รวมค่อนข้างสูงรวมกว่า 8.3 หมื่นล้านบาท แต่ยังได้รับเครดิตเรตติ้งในระดับที่ดี A+ อาจจะต้องมีการติดตามใกล้ชิด

กลุ่มโรงไฟฟ้า

โดยภาพรวมมีความเสี่ยงต่ำ แม้ปีนี้มีหุ้นกู้ครบกำหนดถึง 4.1 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากบริษัทในกลุ่มมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจดี รวมถึงลักษณะธุรกิจจะเป็นการกู้ยืมในสัดส่วนสูง D/E ราว 3:1 ของ โครงการโรงไฟฟ้า จึงทำให้มูลหนี้ค่อนข้างสูง อันดับเครดิตเรตติ้งอยู่ในกรอบ AA+ ถึง BBB

กลุ่มท่องเที่ยว

CENTEL (Rating A -) : ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดชำระภายในปี 2567 ราว 600 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วน D/E ณ สิ้นงวดไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 0.7 เท่า จึงมองความเสี่ยงทางการเงินต่ำ

ERW : ไม่มีการใช้ตราสารหนี้ ความเสี่ยงจากความกังวล ด้านตราสารหนี้ ต่ำสุดในกลุ่ม

MINT (Rating A) : ตราสารหนี้ที่ครบกำหนด ชำระภายในปี 2567 ราว 1.1 หมื่นล้านบาท ในเชิง Net gearing ณ สิ้นงวด 3Q66 ที่ 1 เท่า ต่ำกว่า Debt covenant ที่ 1.75 เท่า และกรอบการบริหารภายในของบริษัทที่ 1.3 เท่า ขณะที่เงินสดในมือ ณ สิ้นงวด ไตรมาส 3 ปี 2566  อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท จึงประเมินอยู่ในการบริหารจัดการ

โดยในกลุ่มโรงแรม ภายใต้เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแรง ส่งผลต่อเนื่องถึงภาคท่องเที่ยวไทย ทำให้ MINT ที่โครงสร้างโรงแรมอยู่ใน EU ราว 50% ของรายได้ ซึ่งพึ่งพาจีนน้อย ประเมินแรงกดดันจากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจจีนต่ำกว่ากลุ่ม

กลุ่มจำนำทะเบียน

ถือเป็นกลุ่มที่ใช้ Financial leverage สูง เพื่อนำเงินไปปล่อย สินเชื่อ อย่างไรก็ดีสัดส่วน D/E หุ้นในกลุ่มยังอยู่ในเกณฑ์ Debt covenant หรือกรอบการบริหารจัดการโครงสร้างเงินทุนภายในของแต่ละบริษัทที่คุมไม่ให้เกิน 4 เท่า

MTC (Rating BBB+) : ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดชำระภายในปี 2567 ราว 2.5 หมื่นล้านบาท โดยสัดส่วน D/E ณ สิ้นงวดไตรมาส 3 ปี 2566 อยู่ที่ 3.7 เท่า ยังอยู่ในกรอบการบริหาร

SAWAD (Rating BBB+) : ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดชำระภายในปี 2567 ราว 9.8 พันล้านบาท โดยสัดส่วน D/E ณ สิ้นงวดไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 2.7 เท่า อยู่ในกรอบการบริหารจัดการ

TIDLOR (Rating A ) : ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดชำระภายในปี 2567 ราว 8.3 พันล้านบาท โดยสัดส่วน D/E ณ สิ้นงวด ไตรมาสที่ 3 ปี 2566 อยู่ที่ 2.4 เท่า อยู่ในกรอบการบริหารจัดการ

กลุ่มนิคมฯ

มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจาก rating ของบริษัทนิคมฯ อยู่ในเกณฑ์ดี บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรต่อเนื่อง ประกอบกับฐานะการเงินแข็งแกร่ง สะท้อนจาก net gearing ratio ที่ 0.6-0.9 เท่า นอกจากนี้หุ้นกู้บริษัทนิคมฯ มีอายุไม่เกิน 5 ปี

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง

มีความเสี่ยงต่ำ แม้ปีนี้มีหุ้นกู้ครบกำหนดสูงถึง 7.6 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากบริษัทในกลุ่มมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจดี ทุกบริษัทมีเครดิตเรตติ้งสูง SCC(A), SCCC(A) และ TPIPL (A-)

กลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF และ TU)

มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทมีเครดิตเรตติ้งสูงระดับ A+ นอกจากนี้หุ้นกู้มีอายุยาว กระจายตัวครบกำหนดในแต่ละปี โดยปีนี้ ครบ 2.8 หมื่นล้านบาท (คิดเป็น 12% ของหุ้นกู้ทั้งหมด)

กลุ่ม ICT

ที่ฝ่ายวิจัยศึกษาและมีการออกหุ้นกู้ คือ ADVANC, TRUE, และ JMART โดยมีมูลค่าคงค้างอยู่รวมกันราว 2.2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ 1.8 แสนล้านบาท เป็นของ TRUE ซึ่งในปี 2567 นี้จะครบกำหนดราว 3.6 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทยังมีกระแสเงินสดในการดำเนินงานปีละราว 7 หมื่นล้านบาท รวมไปถึงยังมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินอีกราว 5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้จากเรตติ้งของบริษัทที่ A+ น่าจะช่วยให้สามารถกู้ยืมเพิ่มเพื่อมาชำระหุ้นกู้ที่ครบกำหนดได้

กลุ่มพาณิชย์

ที่ฝ่ายวิจัยศึกษาและมีการออกหุ้นกู้ คือ BJC, CRC, CPALL, CPAXT, HMPRO และ DOHOME มีมูลค่าหุ้นกู้คงค้างรวมกัน 3.5 แสนล้านบาท โดยบริษัทที่มีหุ้นกู้ในมูลค่ามากสุดคือ CPALL ที่ 2.2 แสนล้านบาท (ไม่รวม Perpetual bond 1 หมื่นล้านบาท) รองลงไปเป็น BJC ที่ 8.9 หมี่นล้านบาท

โดยในปี 2567 มีหุ้นกู้ของ CPALL, BJC และ HMPRO ที่จะครบกำหนด 2.9 หมื่นล้านบาท, 2.3 หมื่นล้านบาท และ 4 พันล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเชื่อว่าทุกบริษัทจะไม่มีปัญหา จากฐานะการเงินที่ยังแข็งแกร่ง และเรตติ้งของบริษัทในระดับ A+ (CPALL), A (BJC) และ A- (HMPRO) ที่จะสนับสนุนให้ยังสามารถก่อหนี้เพิ่มได้