KKP ลั่นจับตา 4 ประเด็นกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก-ไทย ชี้ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดแล้ว

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร จับตา 4 ประเด็นสำคัญชี้ทิศทางเศรษฐกิจโลก-ไทย คาดดอกเบี้ยโลกผ่านจุดสูงสุด ธนาคารกลางจ่อทยอยปรับลดลง คาดช่วยลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ ส่วนดอกเบี้ยไทยคาด กนง.คงดอกเบี้ย 2.50% ทั้งปี ชี้กรณีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจน้อย-ดิจิทัลวอลเลตเลื่อนมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้

วันที่ 31 มกราคม 2567 ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจ 2567 มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีประเด็นจับตามองด้วยกัน 4 ประเด็น ได้แก่ 1.เศรษฐกิจโลกกำลังจะเติบโตสวนทางกัน (Growth divergence) เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีทิศทางชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่จะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก

โดยเฉพาะเศรษฐกิจอันดับหนึ่งและสองของโลก นำโดยสหรัฐอเมริกาที่จะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าที่คาด จากเดิมที่ประเมินกันว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย Recession ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับเผชิญกับปัญหาชะลอตัว หรือยุโรปที่เห็นเศรษฐกิจออกมาติดลบ หรือขยายตัว 0% ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความท้าทาย

2.ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกผ่านจุดสูงสุดและเริ่มปรับตัวลดลง โดยจะเห็นว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อโลกพีกขึ้นไปถึง 8-9% ปัจจุบันเริ่มปรับลดลง เช่น สหรัฐ เหลือ 4% ทำให้ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้ แต่เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังมีความแข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากไม่ได้นัก และจากทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับลดลงจะช่วยลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ

3.การเมืองระหว่างประเทศเป็นประเด็นที่มีความไม่แน่นอน และส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะสงคราม และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะมีความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายที่อาจจะกระทบต่อการค้าและการลงทุน

และ 4.เศรษฐกิจไทยจะยังฟื้นตัวช้าและจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของการส่งออกยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในปีนี้ ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีในปี 2567 จะขยายตัว 2.9% และหากรวมดิจิทัลวอตเลตอยู่ที่ 3.7%

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอยู่ที่ 2.5% เกือบตลอดทั้งปี แต่มีโอกาสปรับลดลงได้หากการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐไม่สามารถดำเนินการได้ หรือแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดไว้

นอกจากประเด็นระยะสั้นแล้ว ยังมีปัญหาศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยกลับเติบโตต่ำลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด-19 ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเมื่อผ่านไปเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตได้ตามปกติ แต่หลังจากผ่านวิกฤตมาประมาณ 2 ปี เศรษฐกิจไทยยังไม่กลับที่เดิม และฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น

ทั้งนี้ ภาคท่องเที่ยวที่เคยเป็นเครื่องจักรสำคัญก่อนโควิด-19 ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปได้ที่จุดเดิมจากนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป ขณะที่การส่งออกที่เดิมไทยเคยอาศัยห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างจีนเป็นประตูสู่ตลาดโลก แต่ในช่วง 2-3 ปีหลัง ไทยยังไม่สามารถขยายตัวในห่วงโซ่อุปทานโลก และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและเริ่มขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสินค้าหลายประเภท

เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก หรือยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พร้อมกันนั้น ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศยังมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งปัญหาสังคมสูงอายุและกำลังแรงงานที่กำลังถดถอย ปัญหาคุณภาพการศึกษาที่สะสมมาตลอดหลายทศวรรษ และการลงทุนที่หายไปเกือบ 30 ปีหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง

“เศรษฐกิจไทยตอนนี้เรียกว่ามาถึงจุดพลิกผัน สิ่งที่สำคัญกว่าอาจจะไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร หรือจะแก้ไขอย่างไร แต่อาจจะเป็นการหาฉันทามติร่วมกันของสังคมว่าจะเริ่มแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร และเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มพูดคุยกัน เพราะการแก้ไขปัญหาพวกนี้ต้องใช้เวลา อาจจะหลายทศวรรษกว่าจะเห็นผล”