จับสัญญาณฟันด์โฟลว์ แค่ไหลเข้า “เก็งกำไร” ระยะสั้น

ฟันด์โฟลว์

ตลาดหุ้นไทยช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 2567 เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น หลังมีเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยช่วง 7 วันแรก (1-7 ก.พ.) ต่างชาติซื้อสุทธิ 5,944.74 ล้านบาท หลังจากที่เดือน ม.ค. ขายสุทธิไป 30,870 ล้านบาท

ตลท.ชี้อาจเข้ามาเก็งกำไร

โดย “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ชี้ว่า ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจากนี้ไปฟันด์โฟลว์จะกลับเข้ามามากน้อยแค่ไหน โดยคงต้องรอดูภาพรวมทั้งเดือนก่อน เนื่องจากยังไม่สามารถบอกได้ว่าเงินที่ไหล กลับเข้ามาช่วงต้นเดือนเป็นโฟลว์ระยะสั้น หรือระยะยาว

“เบื้องต้นคาดการณ์ว่า หากเป็นเม็ดเงินระยะสั้น จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องทิศทางดอกเบี้ย และการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน หากเป็นระยะยาว ก็อาจเป็นปัจจัยเชิงบวกของความเชื่อมั่นในการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีน เพราะต้องยอมรับว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวดีมาก ไม่ได้เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนโต 40% แบบนี้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หากไปได้ต่อเนื่อง จะส่งผลบวกกับตลาดหุ้นได้อย่างมาก”

วอลเลตไม่ชัด SET ขึ้นยาก

ขณะที่ “สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า ทิศทางของฟันด์โฟลว์ในระยะสั้น ยังเป็นลักษณะการรอจังหวะ โดยมีปัจจัยที่ยังต้องติดตามในเรื่องความชัดเจนของนโยบายดิจิทัลวอลเลตว่า สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญจะมีการรับฟ้องและมีการพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร ดังนั้น หากยังไม่มีความชัดเจนในเดือนนี้ SET Index ก็อาจจะขึ้นได้ยาก และฟันด์โฟลว์ไหลเข้าได้ยาก

นอกจากนี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ผ่านมามีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ทำให้ขาดความชัดเจน ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน เม.ย. 2567 หรือต้องรอไปจนถึงเดือน มิ.ย. 2567

“พอมีความไม่แน่นอนของทิศทางดอกเบี้ย จึงทำให้ฟันด์โฟลว์ เป็นลักษณะรอจังหวะในทั้ง 2 เรื่อง จึงยังไม่ได้ให้น้ำหนักของฟันด์โฟลว์ที่จะไหลเข้ามากนัก”

ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นเดือน ก.พ. 2567 ประเมิน SET Index ปรับฐานเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,360 จุด แนวต้าน 1,404 จุด จากปัจจัยต่างประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นลักษณะของเศรษฐกิจโลกดูดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ดอกเบี้ยอาจจะไม่ได้ปรับลดลงเร็ว ดังนั้น จึงทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) สหรัฐปรับตัวขึ้น

“ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิราว 30,000 ล้าน ปัจจัยส่วนใหญ่เกิดจากการประกาศงบฯของกลุ่มธนาคารที่ออกมาไม่ดีนัก และแนวโน้มยังคลุมเครือในกลุ่มแบงก์ที่ยังไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ขณะที่การตั้งสำรองยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน จึงทำให้ต่างชาติมีการขายหุ้นออกไป ส่วนในเดือน ก.พ. มองว่าโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ จะไหลเข้า น่าจะยังไม่ได้มีการไหลเข้าที่แรงมาก”

กราฟฟิก เงินทุนเคลื่อนย้าย

ปีนี้ฟันด์โฟลว์ไม่น่าห่วง

“สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มใกล้ช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ย รวมถึงไทยที่เริ่มเห็นสัญญาณการลดดอกเบี้ยเช่นกัน นอกจากนี้มาตรการของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทิศทางของนโยบายดิจิทัลวอลเลต รวมถึงการประกาศตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงหลังตรุษจีน ที่ต้องติดตามว่าจะมีการเร่งตัวขึ้นได้อีกแค่ไหน ซึ่งส่วนนี้ก็จะมีผลกับการที่นักลงทุนจากต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อในตลาดหุ้นไทย

“ผมคิดว่าปีนี้ไม่น่าห่วงในเชิงของฟันด์โฟลว์ เพราะเชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงตัวเลขการท่องเที่ยวก็จะเป็นตัวช่วยซัพพอร์ตได้ เม็ดเงินจากภาครัฐก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และคิดว่าภาพรวมตลาดหุ้นจะฟื้นตัวได้ แต่จะวิ่งได้ไกลแค่ไหน ยังต้องติดตาม แต่เชื่อว่า ไม่น่าแย่ไปกว่าเดิม”

ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น

ขณะที่ “เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2556-2566) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปกว่า 1 ล้านล้านบาท มีปีเดียวที่ซื้อสุทธิคือปี 2565 มูลค่า 2.2 แสนล้านบาท

โดยช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ต่างชาติที่ขายออกไปเป็นการขายขาดทุน (Cut Loss) สาเหตุหลักเป็นเพราะขาดความเชื่อมั่นต่อ SET จากทั้งรัฐบาลที่มีนโยบายไม่ชัดเจน การปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความกังวลเรื่องตลาดหุ้นกู้ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลสงสัยในรูปแบบการซื้อขายผ่านโปรแกรมเทรดดิ้งและการทำชอร์ตเซลในหุ้นที่มีขนาดกลาง-ใหญ่

“นอกจากนี้ หากเทียบอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ของไทยกับประเทศในอาเซียน ถือว่าไทยโตต่ำที่สุด เพราะฉะนั้นเม็ดเงินต้องไหลออกไปหาประเทศที่มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า จึงเป็นเหตุผลให้ฟันด์โฟลว์ยังไหลออกต่อเนื่อง และยังไม่มีสัญญาณไหลกลับมา ทั้ง ๆ ที่มูลค่าหุ้นไทยตอนนี้ถูกแล้ว”