กูรูจับเทรนด์ลงทุนวัดอุณหภูมิ “หุ้น-ทอง-บอนด์”

ชยนนท์ รักกาญจนันท์-สาห์รัช ชัฏสุวรรณ

ในปี 2567 นักลงทุนมองกันว่าจะเป็นยุคที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ทำให้นักลงทุนต้องมองหาสินทรัพย์เพื่อลงทุนให้เข้ากับสภาวะดอกเบี้ยโลกที่กำลังจะเป็นขาลง โดยอาจจะต้องจัดพอร์ตใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี และลดความเสี่ยงการลงทุน

เทรนด์ลงทุน “ดอกเบี้ยขาลง”

โดย “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ กล่าวว่า ปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้น เศรษฐกิจอเมริกายังอยู่ในความน่าสนใจ ความเสี่ยงที่จะถดถอย (Recession) คาดว่าจะหมดไป ส่วนเงินเฟ้อสหรัฐก็อ่อนตัวลง แต่ยังไม่ได้อ่อนในจุดที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินในสหรัฐคาดว่าจะผ่อนคลายลง และจะมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น

“มองว่าในปีนี้เป็นเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงไม่ได้เยอะ แนะนำลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์) ระยะยาวในต่างประเทศ อย่างบอนด์สหรัฐ, Global Bond เนื่องจากดอกเบี้ยโลกเป็นทิศทางขาลง ถ้าเราเลือกลงทุนในกองทุนที่เขาเน้นระยะยาว ก็จะได้กำไรจากดอกเบี้ยที่ปรับลดลง หรือกำไรจากส่วนต่างราคา หากดอกเบี้ยปรับลง”

ขณะที่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ก็มีความน่าสนใจจากดอกเบี้ยขาลง เพราะรีทให้อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ค่อนข้างดี

ขณะที่หุ้นต่างประเทศยังน่าสนใจ อย่างหุ้นสหรัฐ ที่มีการขึ้นมาทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง ส่วนจีนเศรษฐกิจน่าจะพลิกฟื้นกลับมาได้ในปีนี้ แต่ตลาดหุ้นจะมั่นใจแค่ไหนต้องดูอีกที ทั้งนี้เป็นการคาดการณ์ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี

หุ้นไทยต้องรอ-ทองซื้อได้

“สำหรับหุ้นไทยหากรอเวลาได้ก็ยังน่าสนใจ โดยต้องรองบประมาณจากภาครัฐที่จะมาช่วยกระตุ้น มองว่าในช่วงไตรมาส 2-3 ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นได้”

ADVERTISMENT

“สาห์รัช” กล่าวว่า ในส่วนทองคำคิดว่าโมเมนตัมยังมีอยู่ โดยในขณะนี้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูง แต่ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนทองคำในระยะสั้น คือการลดดอกเบี้ยในสหรัฐ

“ตอนนี้ทองคำขึ้นมาสูงแล้ว ก็ให้หาจังหวะดี ๆ หากย่อลงในระยะสั้น ก็ดักเข้าซื้อสะสมไว้ได้”

ADVERTISMENT

ตลาดเกิดใหม่น่าสนใจ

ด้าน “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า มุมมองช่วงนี้ตลาดมองไปในทิศทางเดียวกัน คาดว่าเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกช่วงเดือน มิ.ย. ต่างจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ในช่วงต้นปี ว่าจะลดตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. ซึ่งการที่เฟดลดดอกเบี้ยช้า เป็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อกลับมาสูงอีกครั้ง

แต่ตอนนี้สัญญาณเงินเฟ้อเริ่มจะชะลอลงแล้ว ซึ่งสะท้อนว่าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มจะเริ่มเข้าสู่การชะลอตัว ทำให้ค่าเงินดอลลาร์น่าอ่อนค่าลง

“พอค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง จะมีความสำคัญกับค่าเงินสกุลตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ทุกครั้งที่ดอลลาร์อ่อน จะมีอยู่ 2 สินทรัพย์ที่วิ่งได้ คือ ทอง และ Emerging Market ซึ่งจะเห็นว่าทองคำดีดขึ้นสูงช่วงนี้ ก็มาจากการคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนลง”

อย่างไรก็ดี Emerging Market ยังเคลื่อนไหวไม่มาก ดังนั้นหากจัดพอร์ต แนะนำให้โฟกัสที่ Emerging Market ภายใน1-3 เดือนหลังจากนี้ น่าจะมีโอกาส Outperform โดยแบ่งเป็น 2 ตลาดใหญ่ ได้แก่ จีน, อินเดีย ซึ่งจีนจะเริ่มเห็นความผันผวน แต่ก็มีการรีบาวนด์ที่แข็งแรงมากขึ้น มาจากที่ทางการจีนเริ่มใช้มาตรการภาครัฐในการกระตุ้นและสนับสนุนเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ขณะที่อินเดียเป็นเศรษฐกิจที่เติบโต มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง โครงสร้างประชากรวัยแรงงานมีค่อนข้างมาก

“ขณะที่ตราสารหนี้ ถือได้ แต่แนะนำที่คุณภาพสูง ระดับ Investment Grade บอนด์ดอกเบี้ยสูงดี แต่ถ้าเลือกไม่ถูก ก็จะไปเจอตัวที่เสี่ยงล้มละลาย”

เงินเฟ้อ-เลือกตั้ง สหรัฐยังเสี่ยง

“ชยนนท์” กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ดี มีปัจจัยที่จะต้องติดตาม ทั้งเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐ ถ้าเงินเฟ้อเร่งขึ้น ก็จะทำให้เฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ย ถ้าหากเฟดกลับไปขึ้นดอกเบี้ย อาจจะทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐานได้

รวมถึงการเลือกตั้งของสหรัฐ ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ ทั้งเรื่องข้อตกลงการค้า การตั้งกำแพงภาษี ก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงของนักลงทุน