SCBX ชู AI คือคำตอบ หนุนฝ่าพายุการเปลี่ยนแปลง

Athit.N

ปัจจุบันโลกเผชิญความท้าทายหลายอย่าง โดยเฉพาะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีผลกระทบไปทั่ว ทำให้ทุกประเทศต้องปรับตัวรับมือ สำหรับโลกธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี มีผลอย่างมากต่อการทำธุรกิจ ใครที่ปรับตัวได้เร็วก็ย่อมได้เปรียบ

ล่าสุดในงานสัมมนา “Prachachat Business Forum 2024 : ฝ่าพายุความเปลี่ยนแปลง” ได้รับเกียรติจาก “อาทิตย์ นันทวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX มาเล่าประสบการณ์ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ผ่านหัวข้อ “The New Chapter ธุรกิจไทย (ในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม)” ไว้อย่างน่าสนใจ

โลก (ธุรกิจ) ไม่เหมือนเดิม

“อาทิตย์” กล่าวว่า หากพูดถึงเรื่องว่าโลกไม่เหมือนเดิมอย่างไร จะมีเรื่องปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงมาสู่ปัญหาของคำว่า “VUCA” ที่มาจาก Volatility (ความไม่แน่นอน) Uncertainty (ความไม่มั่นใจ) Complexity (ความซับซ้อน) และ Ambiguity (ความคลุมเครือ)

ซึ่งผลลัพธ์ของ “VUCA” นี้ ทำให้ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง เช่น อดีตเคยพูดถึงโลกาภิวัตน์ แต่พอทำไปทำมามีคนได้เปรียบเสียเปรียบ หรือเรื่อง Disruptive Technology ก็มีบริษัทที่อยู่ดี ๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ทำการ์ดจอเกม แต่วันนี้สามารถมีมูลค่าตลาด (Market Capital) เป็นอันดับ 3 ของโลก คือ บริษัท เอ็นวิเดีย คอร์ปอเรชั่น (NVIDIA)

ล่าสุดก็ประกาศจับมือกับไมโครซอฟท์ ซึ่งสุดท้ายก็จะ “Winner Take All” มีโอกาสทำให้คนอื่นแข่งขันได้ยาก เพราะตลาดผู้ผลิตชิปประมวลผล (GPU) ถูกควบคุม (Control) จากบริษัทเดียวมากกว่า 70-80%

สิ่งเหล่านี้ทำให้การทำธุรกิจไม่เหมือนเดิม ซึ่งยังไม่นับรวมถึงเรื่องภูมิทัศน์เศรษฐกิจสีเขียว (Green), เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular) จะเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจ และกระทบธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปในลักษณะ “กบที่ถูกต้ม” คือจะสายเกินไปกว่าที่จะปรับตัว

“SCBX ยังอยู่ระหว่างการเดินทางของการเปลี่ยนแปลง ยังไม่สามารถบอกได้ว่าสำเร็จอย่างแท้จริง แต่ความสำเร็จที่แท้จริงก็คงไม่มี เพราะต้องปรับตัวตลอดเวลา สิ่งที่โอเคแล้ว อาจจะไม่โอเค อาจจะไม่เวิร์ก หรืออาจจะแข่งขันไม่ได้

แต่แค่หยุดเดิน หยุดวิ่ง ก็เหมือนเดินถอยหลัง เพราะโลกไปข้างหน้าด้วยสปีดที่เราไม่เคยเจอ โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี ทำให้คนที่อยู่ในภาคธุรกิจต้องเป็นนักวิ่งเร็วและวิ่งอึดด้วย ดังนั้น คนที่จะมาเป็นผู้นำจะต้องอึดมาก และต้องเร็วมาก รวมถึงต้องตัดสินใจในลักษณะที่มองไม่เห็นความชัดเจน แต่ก็ต้องเดินไป”

ลดต้นทุน-หยุดลงทุนไม่มีเหตุผล

สำหรับการปรับตัวทางด้านธุรกิจของ SCBX ในส่วนธุรกิจที่ทำมานาน มีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ที่ดี ซึ่งมองไปข้างหน้า จะมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งสิ่งแวดล้อม และ VUCA ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ส่วนนี้ต้องพยายามทำให้เป็นธุรกิจดั้งเดิม (Cash Cow) อย่าไปปฏิรูป (Transform) หรือเปลี่ยนแปลงในบริษัทนั้น แต่พยายามคัดเลือกสิ่งที่ทำอยู่ และต้องมีระเบียบวินัยในการลงทุน (Discipline) เพราะธุรกิจ Incumbent เกือบ 100% จะไม่มีผลิตภาพ (Productivity) ในเชิงผลตอบแทน

“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์ไม่เน้นการเติบโต ไม่เน้นการขยายตัวของสินเชื่อ และไม่เน้นชาร์จลูกค้าแพงขึ้น แต่เน้นความเข้มงวดเรื่องของการลงทุน และปรับลดต้นทุน (Cost) ซึ่งปรับลงมาได้หลักหมื่นล้านบาท โดยการทำให้องค์กรหยุดลงทุนที่ไม่มีเหตุผล และปรับกระบวนการทำงานต่าง ๆ ทำให้ Cash Cow แข็งแรง และมีความทนทาน ยืดหยุ่นต่อการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม”

ธุรกิจโลกใหม่พึ่งพา “Tech-AI”

“อาทิตย์” กล่าวอีกว่า โลกของการแข่งขันยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมาจะถูกหรือไม่ และใช้เวลาอีกนานหรือไม่กว่าจะไปถึงจุดที่ใช่ ดังนั้น การนำเทคโนโลยีมาเป็น Cost Structure ก็มีโอกาสที่จะสำเร็จได้มาก ส่วนเรื่องใหม่ ความสามารถใหม่ จะมีเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่องของ Green และ Asset-Light (โมเดลธุรกิจแบบลดการถือครองทรัพย์สินถาวร)

และ แนวคิดที่แข็งแรง จะช่วยดึง Talent (คนเก่ง) ที่เงินไม่ใช่คำตอบ อันนี้เป็นสิ่งที่ SCBX ตั้งไว้เป็นไกด์ไลน์ให้ตัวเอง”

โดย SCBX จะแยกธุรกิจเป็น GEN โดย GEN 1 คือ ธุรกิจดั้งเดิม ส่วน GEN 2 จะเป็น Legacy โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาดำเนินงาน ซึ่งปัจจุบันมี 10 บริษัท แต่สร้างขึ้นมาอีก 1 บริษัท ชื่อว่า DataX พยายามดึงเทคโนโลยี และ AI มาอยู่ตรงกลาง และ Setup บริษัทนี้ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านข้อมูล (Data) เพื่อจะทำเรื่องของ Analytic AI

และ Generative AI และกำลังออก Large Language Model (LLM) ชื่อว่า ไต้ฝุ่น (Typhoon) เวอร์ชั่น 1.0 ประมาณกลางปีนี้ โดยสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในกลุ่ม และนำ Data มาเชื่อมกันได้

หลอม AI เป็นวัฒนธรรมองค์กร

“องค์กร SCBX เรา Commit บนเรื่องของ AI เต็มที่ เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้กำลังเปลี่ยนโลก โดยจะนำ AI มาใช้ ซึ่งไม่เฉพาะแค่เรื่องของทำมาหากิน แต่จะอยู่ในทุกกระบวนการตั้งแต่ต้น-จนจบ (End to End Process) โดยจะต้องนำ AI เข้าไปในกระบวนการ ทั้งหลังบ้าน กลางบ้าน และหน้าบ้าน นอกจากนี้ SCBX ยังมีโครงการเรียนรู้ AI ของพนักงานในกลุ่มกว่า 2 หมื่นคน

โดยการสร้างหลักสูตรให้พนักงานทุกคนรวมถึงพนักงานสาขา และเพิ่มเป็นระดับชั้น พนักงานสามารถสอบไปถึงขั้น Advance และในท้ายที่สุดจะเป็นโอกาสของพนักงานทุกคนที่สามารถทำงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีได้”

ส่วนข้อกังวลเรื่อง AI มาแทนที่คน และคนจะตกงานนั้น มองว่า เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการนำ AI ไปแทนในทุกธุรกิจ (Business) หรือจุดอ่อน (Pain Point) ก็ต้องทำความเข้าใจกับคนหน้างาน ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ SCBX กำลังแก้อยู่

ดังนั้น กระบวนการจึงต้องเน้นเรื่องของวัฒนธรรมองค์กร และการสื่อสาร โดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว มีประสิทธิภาพมากแล้ว สุดท้ายแล้วคนที่ปรับตัวไม่ได้ แน่นอนการตกงาน เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่พยายามเชียร์อัพให้พนักงานพยายามอย่ามองในด้านลบ ให้มองว่าเป็นโอกาส

ตั้งเป้า 3 ปี AI สร้างรายได้ 75%

“วันนี้เราเซตในกลุ่ม SCBX ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าเราจะต้องมี Revenue ทั้งหมดในกลุ่ม SCBX 75% จะมาจาก AI Related ทุกบริษัทถูกแจกเป้า สิ่งสำคัญคือ คิดแล้วจะต้องมีเป้าหมาย และมีตัววัดที่ชัดเจน เพราะผมเชื่อในเรื่องของ Executionและอยากบอกว่า บริษัทอันดับต้น ๆ ของจีน มีแนวคิดและกล้าลงทุน กล้าทำ และทำให้เกิดขึ้น ความสำคัญคือ อะไรคือกระดุมเม็ดแรก และอะไรเป็นกระดุมเม็ดแรกที่เราควรจะทำ” ซีอีโอ SCBX กล่าว