
เอไอเอ ประเทศไทย กำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่ ทุบสถิติเป็นประวัติการณ์ 2.4 หมื่นล้าน โต 21% ปี 2567 วางกลยุทธ์ ABCDEF ส่งแคมเปญ Living to 100 ผลักดันคนไทยเตรียมวางแผนสุขภาพและการเงิน เล็งเร่งออกฟีเจอร์-แบบประกันสุขภาพ รองรับนวัตกรรมทางการแพทย์แบบใหม่ พร้อมศึกษาแบบมีส่วนร่วมจ่าย (copayment)
วันที่ 6 เมษายน 2567 นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย (AIA) เปิดเผยในงาน “A conversation with CEO” ว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา เอไอเอเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สามารถสร้างสถิติใหม่ในรอบกว่า 8 ทศวรรษ จากผลการดำเนินงานของมูลค่ากำไรธุรกิจใหม่ (Value of New Business: VONB) หรือผลรวมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ เติบโต 21% มาอยู่ที่ระดับ 24,857 ล้านบาท เมื่อเทียบจากปี 2565
โดยเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ (ANP) มีส่วนแบ่งทางการตลาดหรือมาร์เก็ตแชร์ 24% ที่สำคัญยังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพ ประกอบด้วย
- มีมาร์เก็ตแชร์ 50% ของยอดขายสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ
- มีมาร์เก็ตแชร์ 57% ของยอดขายสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง
- มีมาร์เก็ตแชร์ 59% ของยอดขายประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิตลิงก์)
- มีมาร์เก็ตแชร์ 22% ของยอดขายประกันกลุ่ม
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เอไอเอเติบโตอย่างโดดเด่น มาจากที่เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพ ซึ่งทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง ตลอดจนรูปแบบการทำงานที่เน้น Agility เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการขายที่แข็งแกร่ง ทั้งช่วงทางตัวแทนเป็นอันดับ 1 ในตลาด มีจำนวนตัวแทน 50,000 คน และติดคุณวุฒิ MDRT มากที่สุด รวมทั้งช่องทางพันธมิตร (ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, โตโยต้าลีสซิ่ง) ที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันในการสร้างสรรค์และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้า
นอกเหนือจากนั้นเอไอเอได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในขั้นตอนการพิจารณากรมธรรม์แบบอัตโนัมติ ในอัตราที่สูงถึง 87% ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการอนุมัติกรมธรรม์ประกันชีวิตรายเดี่ยวได้มากถึง 1,500 กรมธรรม์ต่อวัน และพิจารณาเคลมได้สูงสุดถึง 9,000 เคลมต่อวัน” ซีอีโอ เอไอเอ กล่าว
ปี 2567 กลยุทธ์ ABCDEF
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2567 เอไอเอวางกลยุทธ์ ABCDEF ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์ที่เอไอเอมุ่งเน้นเพื่อยกระดับการดูแลบริการลูกค้า พร้อมกับรักษาอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพ
- A – Agency Transformation การพัฒนาช่องทางตัวแทนประกันชีวิตให้ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผลักดันการทำงานและการให้บริการลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า พร้อมยกระดับการสรรหาตัวแทนที่มีคุณภาพ และมุ่งพัฒนาตัวแทนใหม่อย่างต่อเนื่อง
- B – Business Partner Acceleration การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของช่องทางพันธมิตร โดยเอไอเอมุ่งเสริมความแกร่งของช่องทางขายผ่านพันธมิตรที่มีอยู่เดิม พร้อมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า
- C – Customer Centricity การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเปลี่ยนบทบาทจากเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม (Payor) เป็นพาร์ตเนอร์ (Partner) ที่พร้อมดูแลลูกค้าในทุก ๆ วัน

- D – Digitalisation Journey การวางเส้นทางไปสู่ยุคดิจิทัลเพื่อตอกย้ำการเป็น Digital Insurer แห่งแรกของประเทศไทย โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัลเพื่อเสริมการบริการให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นผ่าน All-in-one Application สำหรับลูกค้าและตัวแทน
- E – Employee Wellbeing ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน โดยเอไอเอให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียมในที่ทำงาน และเปิดโอกาสให้พนักงานได้เสนอความคิดเห็น เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
- F – Future Healthcare การดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพและยั่งยืนเพื่อคนไทย ด้วยการนำเสนอโซลูชันด้านการดูแลและรักษาสุขภาพที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมส่งเสริมให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน ตลอดจนได้รับความคุ้มครองด้านสุขภาพที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
“ในเดือน พ.ค.2567 จะครบ 2 ปีที่ผมมาทำงานอยู่ที่ เอไอเอ ประเทศไทย หรือทำงานมาแล้วกว่า 700 วัน และถือว่าเป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว ที่ทำงานอยู่กับกลุ่มเอไอเอ เริ่มงานแรกที่เอไอเอฮ่องกง และถัดมาที่เอไอเอศรีลังกา สำหรับเอไอเอ ประเทศไทย ถือเป็นสถานที่ในฝัน และสนุกกับการทำงานมาก มีพาร์ตเนอร์ที่ดีที่ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา” นายนิคฮิล กล่าว
ออกแคมเปญ Living to 100
นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย (AIA) กล่าวว่า เอไอเอมุ่งมั่นเดินตามพันธกิจที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจากการที่ปัจจุบันมองเห็นแนวโน้มที่คนจะมีอายุขัยยืนยาวขึ้นเรื่อย ๆ และมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 100 ปี เนื่องด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ แต่ในขณะที่อายุสุขภาพกลับไม่ยืนยาวสอดคล้องไปตามอายุขัย ฉะนั้นในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลาย ๆ คน อาจตกอยู่ในภาวะที่เงินเก็บไม่เพียงพอ สำหรับใช้ในการรักษาตัวเองหากเจ็บป่วย
ด้วยเหตุนี้เอไอเอจึงได้พัฒนาโซลูชันด้านสุขภาพให้สามารถดูแลคนไทยได้ครอบคลุมและคุ้มครองยาวนานขึ้นถึงอายุ 99 ปี รวมทั้งได้ออกแคมเปญ Living to 100 ที่ตั้งใจผลักดันให้คนไทยเตรียมวางแผนสุขภาพและการเงิน เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น
ศึกษาเพิ่มฟีเจอร์ประกันสุขภาพ
โดยปัจจุบันเอไอเอมีจำนวนลูกค้าอยู่ทั้งหมด 5 ล้านราย และมีสัดส่วนที่ซื้อประกันสุขภาพในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญ และด้วยกลยุทธ์ Future Healthcare จะเป็นสิ่งที่เอไอเอจะมุ่งการบริการด้านสุขภาพที่มากยิ่งขึ้นในอนาคต ในปีนี้มีแผนจะออกสินค้าใหม่อีกค่อนข้างมาก แต่จะเป็นลักษณะค่อย ๆ ทยอยออกมาทุกไตรมาส
ซึ่งปัจจุบันสินค้าประกันสุขภาพของบริษัท แม้จะมีแบบที่ครอบคลุมทุกเซกเม้นท์อยู่แล้ว แต่ต่อไปอาจจะต้องมองการบริหารประกันสุขภาพทุกอย่างให้ครบวงจรมากขึ้น โดยที่ผ่านมาถ้าเปรียบเทียบสินค้าประกันชีวิตและประกันโรคร้ายแรง เป็นอะไรที่ค่อนข้างคงที่ และส่วนใหญ่มักเคลมแค่ครั้งเดียว
แต่ประกันสุขภาพเป็นโมเดลที่ค่อนข้าง high touch มาก และมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้าง dynamic มีขั้นตอนการรักษาแบบใหม่ เกี่ยวกับนวัตกรรมทางการแพทย์ เช่น ผ่าตัดไม่ต้องนอนโรงพยาบาล รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงของมาตรฐานประกันสุขภาพแบบใหม่ (New Health Standard) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
ซึ่งทำให้เอไอเอเริ่มหันมาพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ครอบคลุมเรื่องเหล่านี้มากแค่ไหน ดังนั้นตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างเร่งศึกษาพัฒนาทั้งการเพิ่มฟีเจอร์และแบบประกันใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีที่สุด
นอกจากนี้คงต้องมีการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลด้วย เพราะเป็นอีโคซิสเต็ม Healthcare เนื่องจากโรงพยาบาลเองอาจจะอยากทำโมเดลใหม่ ๆ แต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ยังไม่คุ้มครอง จึงอาจจะมีการช่วยพัฒนาร่วมกันได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบประกันหรือบริการ
“กลยุทธ์ Future Healthcare จะทำให้ในอนาคตโมเดลที่ไม่ใช่แค่แบบประกัน แต่เป็นการดูแลทั้งวงจรประกันสุขภาพ” ซีเอ็มโอ เอไอเอ กล่าว
ศึกษาแบบสุขภาพ “มีส่วนร่วมจ่าย”
ขณะเดียวกันเอไอเอยังได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสินค้าประกันสุขภาพที่มีส่วนร่วมจ่าย (copayment) จากเดิมที่มีแบบของความรับผิดส่วนแรก (deductible) อยู่แล้ว ซึ่งเป็นแนวทางหรือวิธีการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ในต่างประเทศใช้กันไปแล้ว ยกตัวอย่าง เอไอเอฮ่องกง ก็มีแบบประกันสุขภาพทั้ง copayment และ deductible
โดยข้อดีส่วนหนึ่งที่มีความรับผิดชอบร่วมกัน จะทำให้คนคิดมากขึ้นในการที่จะใช้เบิกเคลม และที่สำคัญค่าเบี้ยจะต่ำลงกว่าแบบประกันสุขภาพโดยทั่วไป
ปัจจุบันบริษัทยังควบคุมการเคลมจากการป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple diseases) ได้ค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง แต่ถือเป็นความท้าทายอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เคยไว้ใจอะไรได้ ช่วงเดือน เม.ย.นี้ ยังไม่กังวล เพราะทุกคนไปท่องเที่ยว อาจจะต้องรอช่วงหน้าฝนที่เป็นฤดูกาล ที่ไข้หวัดแพร่ระบาด
“อย่างไรก็ดีเวลาเรานั่งดูการดีไซน์ผลิตภัณฑ์ จะต้องดีไซน์อะไรที่ตอบโจทย์คนไทย ถูกจริตคนไทยด้วยในภาพรวม ในขณะเดียวกันเราก็มองว่าในต่างประเทศว่าเขาทำอะไรไปแล้วบ้าง ซึ่งเบื้องต้นก็คงอยู่ในช่วงศึกษา แต่ถือเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ”