ปรากฏการณ์ลดดอกเบี้ย นายกฯเศรษฐา-สมาคมธนาคารฯ ต่อลมหายใจกลุ่มเปราะบาง

srettha

ถือเป็นข่าวดีรับวันแรงงานแห่งชาติ 2567 เมื่อสมาคมธนาคารไทยประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อย (MRR-Minimum Retail Rate) ลง 0.25% มีผลวันที่ 1 พ.ค. 2567

น่าจะเป็นครั้งแรก ๆ ที่ธนาคารพาณิชย์เอกชนประกาศลดดอกเบี้ยเงินฝาก ก่อนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพราะตามปกติการขึ้นหรือลดดอกเบี้ย กลุ่มธนาคารจะดำเนินการหลังจาก กนง.มีแอ็กชั่นแล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พ้นมาจากความพยายามของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เชิญสมาคมธนาคารไทย และผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ใหญ่ 4 แห่ง ประกอบด้วย

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย และนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ เข้าหารือเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองสภาวะเศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือน เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา น่าดีใจว่าเพียง 2 วันนับจากการหารือ มีประกาศจากสมาคมธนาคารไทย ออกแนวทางช่วยเหลือเพื่อลดดอกเบี้ยให้กลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และ SMEs โดยเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25% สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และ SMEs เป็นเวลา 6 เดือน

“เชื่อมั่นว่าประชาชนจะเห็นความมุ่งมั่น ตั้งใจ ของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้ไม่เพียงแต่ฟื้นตัว แต่ต้องทัดเทียมการเติบโตของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค” นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

การลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นมาตรการต่อเนื่องจากดำรินายเศรษฐา ที่ให้ธนาคารรัฐ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสงเคราะห์ ออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ ลดดอกเบี้ยและออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ไปก่อนหน้านี้ มีทั้งลดดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทต่าง ๆ อาทิ บ้าน บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล การให้รีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคลจากสถาบันการเงินอื่น ที่ส่วนใหญ่คิดดอกเบี้ยระดับ 20-25% มาเป็นของรัฐ เพื่อจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงเหลือเพียง 15%

Advertisment

รวมถึงให้จ่ายค่างวดน้อยลง แม้มาตรการจากธนาคารรัฐจะช่วยเหลือได้ แต่ยังไม่เพียงพอ ทำให้นายเศรษฐาต้องเชิญสมาคมธนาคารไทยและผู้บริหารธนาคารพาณิชย์เข้าหารือ

จนนำมาสู่การลดดอกเบี้ยในที่สุด อย่างน้อยให้ประชาชนได้หายใจหายคอคล่องขึ้น ไม่ถูกอัตราดอกเบี้ยบีบจนหาทางออกได้ลำบาก ท่ามกลางการดิ้นรนในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เพราะดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนที่สูงทุบสถิติ เป็นปัญหาเรื้อรังมาในอดีตนับเนื่องจากช่วงโควิด-19 ส่งต่อให้รัฐบาลชุดปัจจุบันแก้ไขดอกเบี้ยที่พุ่งสูงต่อเนื่องจากต้นปี 2566 ส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบาง จนเกิดปัญหาหนี้เสียตามมาจำนวนมาก

หลังมีประกาศลดดอกเบี้ยของสมาคมธนาคารไทย นายเศรษฐาโพสต์ข้อความผ่านแอพพลิเคชั่น X ขอบคุณสมาคมธนาคารไทยโดยระบุว่า

ขอขอบคุณสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกที่ช่วยลดดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้กลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และ SMEs ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

Advertisment

“ผมขอชื่นชมการลดดอกเบี้ยที่สะท้อนให้เห็นว่าสมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิกให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เข้าใจถึงภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่หาเช้ากินค่ำ แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ 6 เดือน แต่ก็ช่วยต่อลมหายใจให้สามารถเอากำไรไปต่อยอดได้ ถือเป็นการช่วยเหลือทั้งภาคธุรกิจและประชาชนโดยรวม”

นายกรัฐมนตรีกล่าว และว่าในส่วนของประชาชนกลุ่มอื่น ๆ ทางรัฐบาลจะพยายามหาแนวทางและมาตรการที่จะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด

ขณะที่ภาคเอกชนโดยนายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าฐานะผู้ประกอบการภาคเอกชนและผู้ขอสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงิน ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง และสมาคมธนาคารไทย ที่เข้าใจถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ โดยเร่งรัดดำเนินการหารือร่วมกันจนนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี ซึ่งเบื้องต้นถือเป็นระดับที่น่าพอใจ

“ต้องขอบคุณการเรียกประชุม 4 ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของท่านนายกรัฐมนตรี ที่สามารถทำให้ธนาคารพาณิชย์ตอบสนองเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ได้รวดเร็วทันที เพราะเป็นการลดนำร่องก่อนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ด้วย ถือเป็นสัญญาณที่ดี ช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีสามารถกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับมาได้ระดับหนึ่ง”

แม้ในภาพรวมการลดดอกเบี้ย 0.25% อาจไม่ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจในวงกว้างมากนัก แต่สำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้ประกอบการรายย่อย ถือว่ามีส่วนสำคัญที่ได้ลดภาระดอกเบี้ยลง

ขณะที่ทางอ้อมเหมือนส่งสัญญาณกลาย ๆ ว่าดอกเบี้ยที่เคยขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มชะลอตัวและมีแนวโน้มลดลง ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการลงทุน หรือจับจ่ายมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่นายเศรษฐาเจรจาจนสามารถให้ธนาคารทั้งระบบลดดอกเบี้ยลงได้ นับเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการเบื้องต้นเท่านั้น

เชื่อว่ายังมีอีกหลายมาตรการที่จะตามออกมา เพื่อช่วยกลุ่มเปราะบาง พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป