สถิติน่าตกใจ! ไทยป่วยทางจิต 10 ล้านคน “ซึมเศร้า-วิตกกังวล” พุ่ง จากปัญหาเศรษฐกิจ

ความเครียด

สภาพัฒน์ ชี้คนไทยป่วยทางจิต 10 ล้านราย โรคซึมเศร้า-วิตกกังวลพุ่งทุกช่วงวัย จากปัญหาเศรษฐกิจ สังคมกดดัน การเรียน ความคาดหวังในอนาคต และขาดกิจกรรมในสังคม

วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 ว่า Mental health เป็นปัญหาสำคัญ โดยในปี 2562 องค์การอนามัยโลก ระบุว่า 1 ใน 8 ของคนทั่วโลก มีปัญหาด้านสุขภาพจิต หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 970 ล้านคนทั่วโลก

โดยในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสังคมไทย เมื่อกรมสุขภาพจิต พบว่ามีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้น จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566

ดนุชา พิชยนันท์
ดนุชา พิชยนันท์

“แม้ว่าประเทศไทยจะมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา 2.9 ล้านคน แต่ผู้มีปัญหาอาจมากถึง 10 ล้านคน ทำให้สัดส่วนผู้มีปัญหาสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก และสะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ที่ไม่ได้เข้ารับรักษาเป็นจำนวนมาก” นายดนุชากล่าว

นอกจากผู้ป่วยจำนวนมากแล้ว ยังพบผู้มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตมีสัดส่วนสูงเช่นกัน (1 ตุลาคม 2566-22 เมษายน 2567) พบผู้มีความเครียดสูงถึง 15.48% เสี่ยงซึมเศร้า 17.20% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 10.63% ซึ่งแย่ลงกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา

ปัญหาสุขภาพจิตไม่เพียงกระทบต่อตนเอง แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดคิด องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลของประชากรทั่วโลก ทำให้วันทำงานหายไปประมาณ 1.2 หมื่นล้านวัน สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ADVERTISMENT

เกือบ 1 ใน 5 ของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตไม่สามารถดูแลตนเองได้ ทำให้ครัวเรือนต้องจัดหาผู้ดูแล และเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ไม่ถึง 1 ใน 4 ที่ได้รับการติดตามดูแลและเฝ้าระวังตามแนวทางที่กำหนด

สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความกดดันส่งผลให้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลมากขึ้น ในปีงบประมาณ 2566 พบสัดส่วนผู้ป่วยกลุ่มโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า สูงเป็น 2 อันดับแรก สูงกว่าผู้ป่วยติดยาบ้าและยาเสพติดอื่น ๆ รวมกัน

การฆ่าตัวตายสูงใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.94 ต่อประชากรแสนคน ใกล้เคียงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง (8.59 ต่อประชากรแสนคน)

ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตภายใน จากการศึกษาในประเทศอังกฤษ พบว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเยาวชนเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งไทยต้องเฝ้าระวังเนื่องจากกำลังประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

เด็กและเยาวชน ซึมเศร้าจากการเรียน

ทั้งนี้ หากพิจารณาตามช่วงวัย จะพบสาเหตุของปัญหาที่น่าสนใจแตกต่างกัน คือ ในกลุ่มวัยเด็กและเยาวชน จะมีปัญหาสุขภาพจิตในหลายเรื่อง โดยเฉพาะความเครียด พบว่าปี 2567 (ม.ค.-มี.ค. 2567) พบผู้ป่วยมีความเครียดเพิ่มขึ้นจากปี 2566 โดยในปี 2567 พบวัยเด็กและเยาวชน มีภาวะหมดไฟเพิ่มขึ้น ร้อยละ 26.7 และภาวะเครียดสูง ร้อยละ 18.3 ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดสูง

  • กลุ่มอายุ 15-18 ปี ร้อยละ 38.4 และอายุ 19-22 ปี ร้อยละ 60.9 เครียดด้านการเรียนและความคาดหวังถึงงาน ในอนาคตมากที่สุด
  • กลุ่มอายุ 23-25 ปี ร้อยละ 67.1 เครียดด้านการเงินของครอบครัว และร้อยละ 66.1 เครียดการเรียนและการทำงาน

วัยทำงาน หลายปัญหารุมเร้า

ขณะวัยทำงานความรับผิดชอบสูง และหลายปัญหารุมเร้า ทั้งความเครียดจากการทำงาน การติดสุรา การใช้สารเสพติด และปัญหาจากการดำรงชีพ โดยปัจจัยสำคัญอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต คือ

  • การทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำงาน
  • การใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของแต่ละวันไปกับการทำงาน
  • บริษัท Kisi พบว่า ในปี 2565 กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับ 5 จาก 100 เมืองทั่วโลกที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป และมีพนักงานประจำกว่าร้อยละ 15.10 ทำงานล่วงเวลามากกว่า 48 ชั่วโมง/สัปดาห์
  • มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 หมดไฟในการทำงาน
  • การทำงานหนัก ส่งผลให้เกิดปัญหาความเครียด ซึมเศร้า และหมดไฟในการทำงานได้ง่าย

จากข้อมูลจากสายด่วน 1323 ของกรมสุขภาพจิต พบว่าปี 2566 วัยแรงงานขอรับบริการเรื่อง ความเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการทำงานถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สาย ซึ่งหากภาวะเหล่านี้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องต่อเนื่อง จะทำให้ปัญหาสุขภาพร่างกายรุนแรงมาก

ผู้สูงอายุเหงา-โดดเดี่ยว สูญเสียคุณค่าในตนเอง

ขณะที่ผู้สูงอายุ ต้องอยู่กับความเหงาและโดดเดี่ยว สูญเสียคุณค่าในตนเอง ในปี 2566 พบว่าผู้สูงอายุ 84.93% มีความสุขในระดับที่ดี แต่จะลดน้อยลงตามวัย การขาดกิจกรรมและการอยู่คนเดียว พบว่าผู้สูงอายุ ร้อยละ 84.93 มีความสุขในระดับที่ดี แต่ความสุขจะลดน้อยลงตามวัน

ผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียวมีสูงถึงร้อยละ 28.1 ของผู้สูงอายุทั้งหมด ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดกิจกรรมและบทบาททางสังคม โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ เลย ถึงร้อยละ 49.0 ของผู้สูงอายุทั้งหมด

อีกทั้งมีผู้สูงอายุจำนวนมากมีภาวะความจำเสื่อม และมีปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยผู้สูงอายุ 8 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 10.2 ต่อประชากรแสนคน ต้องใช้ชีวิตอยู่กับภาวะความจำเสื่อม ซึ่งในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 90.0 มีปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ร่วมด้วย

ทั้งนี้ แม้ผู้สูงอายุจะมีอัตราการพยายามฆ่าตัวตายเพียง 14.42 ต่อ ประชากรแสนคน แต่กลับพบอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าช่วงวัยอื่นอยู่ที่ 9.47 คนต่อประชากรแสนคน

แนะการวิธีป้องกัน-รักษา

ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก คือ การป้องกัน สร้างความเข้มแข็งให้สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะ สถาบันครอบครัว ควรเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี อาทิ การพูดคุยแลกเปลี่ยนนความรู้สึก การแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม การเลี้ยงดูเชิงสร้างสรรค์

สถาบันการศึกษา : ควรเสริมสร้างความรู้ด้านสุขภาพจิตผ่านการเรียนการสอน รวมถึงการเฝ้าระวัง พฤติกรรมเสี่ยง และให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่นักเรียน

สถานที่ทำงาน : ควรสร้างสภาพแวดล้อม และระบบการทำงานที่เอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดี และลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต อาทิ การให้สถานประกอบการจัดบริการสุขภาพจิตประจำปีแก่พนักงาน การยืดหยุ่นตารางเวลาการทำงาน

สถาบันชุมชน : ส่งเสริมการพัฒนาและจัดบริการสุขภาพจิตในชุมชน อาทิ การจัดกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุ การเฝ้าระวังป้องกันการฆ่าตัวตาย การบูรณาการเครือข่ายในระดับชุมชน

การรักษา ควรเร่งเพิ่มและพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอ ต่อจำนวนผู้ป่วย รวมทั้งขยายบริการ การรักษา ผู้ป่วยจิตเวชในสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติ อีกทั้งต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้มากขึ้นกว่าเดิม อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มการตรวจจับปัญหาสุขภาพจิตแต่แรกเริ่ม การจัดบริการสุขภาพจิตทางไกล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

การติดตามและการฟื้นฟูเยียวยา ต้องมีการจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจิตที่ครอบคลุม เร่งติดตามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงให้ได้รับการรับฟื้นฟูต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนและสังคม อาทิ วัด หรือองค์การศาสนาต่าง ๆ ในการส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพทางจิตใจ และความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนงาน