คลังสั่งสรรพสามิตหนุน “สุราชุมชน-คาร์บอนเครดิต” รับเก็บรายได้ปี’67 พลาดเป้า

jullaphan

จุลพันธ์ รมช.คลัง มอบนโยบายกรมสรรพสามิตแก้กฎหมาย “สุราชุมชน” ช่วยทุกกลุ่ม สนับสนุนเป็นซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมขับเคลื่อน ESG สร้างมาตรฐานราคากลางคาร์บอนเครดิต ยอมรับจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะออกมาตรการลดภาษีน้ำมันช่วยประชาชน

วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กรมสรรพสามิต ว่า

ในการเดินหน้าเรื่องสุราชุมชน ซึ่งสิ่งที่ต้องการเห็นคือ การปรับแก้กฎหมายกำกับทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดโอกาสให้ตลาดสุราขยายตัวและพัฒนาต่อไปได้ โดยมีผู้เล่นที่มากขึ้น ทั้งผู้ประกอบการระดับบน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการระดับชุมชน-วิสาหกิจชุมชน ซึ่งทุกคนสามารถอยู่ได้ และสามารถผลักดันตลาดสุราของไทยให้ก้าวต่อไปได้ เพื่อให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ รวมถึงสามารถส่งออกได้

โดยกรมสรรพสามิตต้องเร่งสร้างระบบรองรับที่เหมาะสม เพื่อเอื้อต่อตลาดให้ก้าวไปข้างหน้าได้ ขณะเดียวกัน ได้มอบหมายให้เข้มงวดเรื่องการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 8-9 เดือนที่ผ่านมา พบว่ายอดการปราบปรามเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิตเร่งหามาตรการระยะสั้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่มาตรการระยะกลางและระยะยาว ได้มอบโจทย์ให้กรมพิจารณาเรื่องกลไกภาษี เพื่อสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันและขับเคลื่อนต่อไปได้ รวมทั้งมอบหมายให้กรมเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนเรื่อง ESG โดยเริ่มต้นจากการสร้างมาตรฐานคาร์บอนด์เครดิต

“กลไกเรื่องการสร้างมาตรฐานคาร์บอนด์เครดิตนั้น คงต้องมาหารือกันอีกที แต่เชื่อว่าจะเป็นกลไกที่มีความเหมาะสมและเป็นมาตรฐานสากล และจะกลายมาเป็นกลไกภาคบังคับที่ทำให้ตลาด ESG ของไทยมีการเติบโตมากขึ้น โดยวางเป้าหมายว่าในช่วงของการดำเนินการ 2-3 ปีแรกนั้น คาร์บอนเครดิตจะต้องไม่กระทบกับราคาพลังงานทีประชาชนบริโภค” นายจุลพันธ์ระบุ

ADVERTISMENT

นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า ในส่วนของการปรับโครงสร้างภาษียาสูบนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับการรายงาน แต่ยอมรับว่าปัจจุบันตัวเลขบุหรี่เถื่อนที่ทะลักเข้าไทยตอนนี้ค่อนข้างสูงประมาณ 20-25% คิดเป็นมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท ต้องเร่งกำกับให้รัดกุม โดยปัญหานี้เกิดจากการปรับโครงสร้างภาษีเมื่อหลายปีก่อน ทำให้มีช่องว่างระหว่างราคาขายระดับบนกับระดับล่าง ทำให้เกิดแรงจูงใจในการลักลอบ ตรงนี้ต้องไปดูว่าจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับอุตสาหกรรม

สำหรับภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2567 ยอมรับว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะการลดภาษีน้ำมัน ซึ่งคนที่แบกรับคือกรมสรรพสามิต ทำให้สูญเสียรายได้เฉลี่ยเดือนละ 20,000 ล้านบาท ดังนั้น การจัดเก็บที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายจึงเข้าใจได้

แต่กรมยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนการจัดเก็บให้มีประสิทธิภาพต่อไป เพื่อให้ใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้มากที่สุด พร้อมยืนยันว่าในยุคของรัฐบาลชุดนี้ยังไม่เคยได้ยินข่าวการทุจริตคอร์รัปชันของกรมสรรพสามิตแต่อย่างใด

“ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังพิจารณาปรับเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2567 ของกรมสรรพสามิต เพื่อให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนภาพรวมการจัดเก็บภาษีที่พลาดเป้านี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง ประเด็นเหล่านี้เกิดขึ้นมาโดยตลอด บางทีก็พลาดเป้า บางทีก็เกินเป้า สุดท้ายก็บริหารจัดการผ่านเงินคงคลังหรืออะไรก็ตาม มันไม่ใช่ประเด็นปัญหาที่ทางกระทรวงการคลัง หรือสำนักงบประมาณให้ความเป็นห่วงแต่อย่างใด เพราะไม่ได้พลาดเป้าเยอะขนาดนั้น

ส่วนภาษีน้ำมันและภาษีรถยนต์ที่จัดเก็บลดลง ก็มาจากกลไกภาษีในการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการดึงดูดการลงทุนต่างประเทศผ่านกลไกภาษีของสรรพสามิต แต่สามารถดึงดูดการลงทุนได้กว่า 8 หมื่นล้านบาท และช่วยลดคาร์บอนได้ถึง 2.4 แสนตันคาร์บอนต่อปี

โดยภาพต่อไปของ EV คือต้องมองภาพ EV ภาคการขนส่ง การสนับสนุนแบตเตอร์รี่ให้มีราคาเหมาะสม และจูงใจให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อให้ไทยอยู่ได้อย่างยั่งยืนในเรื่องพลังงานสะอาด” นายจุลพันธ์กล่าว