
“บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดของวันนี้ ราคาหุ้นดิ่งหนัก 13% หลังแจ้งงบการเงินปี 2566/2567 ขาดทุนสุทธิ 5,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากขาดทุนในปี 2565/2566 จำนวน 1,836 ล้านบาท
วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ซึ่งพบว่าวันนี้เป็นหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด หรือมีมูลค่ากว่า 2.5 พันล้านบาท โดยในส่วนของราคาหุ้น พบว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทาง โดยลงไปทดสอบระดับต่ำสุด (LOW) อยู่ที่ราคา 5.05 บาท ลดลง 0.8 บาท หรือติดลบ 13.68% เมื่อเทียบจากราคาวันก่อนหน้า
นางสาวชวดี รุ่งเรือง ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในปี 2566/2567 บริษัทมีรายได้รวม 29,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)
โดยมีรายได้จากการดำเนินงาน 17,966 ล้านบาท ลดลง 0.6% มีกำไรจากรายการที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ย และภาษี (Recurring EBITDA) 8,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% แต่มีผลขาดทุนสุทธิ 5,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น YOY จากในปี 2565/2566 มีผลขาดทุนสุทธิ 1,836 ล้านบาท โดยมีสาเหตุดังนี้
BTS รายได้รวม 29,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% หรือ 248 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจาก 1.การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับจำนวน 1,094 ล้านบาท และ 2.รายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น 726 ล้านบาท
โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา ภายใต้ธุรกิจ MIX และการรับรู้รายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูเป็นครั้งแรก ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ภายใต้ธุรกิจ MOVE
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของรายได้ดังกล่าวถูกหักกลบด้วยการลดลงของรายได้จากการให้บริการรับเหมา 904 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูภายหลังการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 24.7% หรือ 4,333 ล้านบาท เป็น 21,843 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวใน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาขน) (KEX) จำนวน 4,363 ล้านบาท
ส่งผลให้บริษัทบันทึกกำไรจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ย และภาษี (Recurring EBITDA) จำนวน 8,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.19 หรือ 469 ล้นบาท ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของ Recurring EBITDA ของธุรกิจ MOVE
ซึ่งได้แรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยรับที่เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้า และส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลขนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF)
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวถูกหักกลบบางส่วนด้วย Recurring EBITDA ของธุรกิจ MIX ที่ลดลง สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ซึ่งเป็นผลจากการขยายธุรกิจ บริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาขน) (TURTLE) และบริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด (RCash) ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งขาดทุนสุทธิจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ผลขาดทุนจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นใน KEX และผลขาดทุนจากการดำเนินงานในบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART)
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนจากการดำเนินงานในบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แรบบิท โฮลดิ้งส์) เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการของธุรกิจ MATCH ปรับตัวลง
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการงดจ่ายเงินปันผล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 และงดจ่ายโบนัสของคณะกรรมการบริษัท
รวมทั้งอนุมัติการโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 3,283,927,455 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 จำนวน 3,283,927,455 บาท
ทั้งนี้ ภายหลังการโอนทุนสำรองตามกฎหมายเพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมดังกล่าว บริษัทจะไม่มีผลขาดทุนสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท และจะมีทุนสำรองตามกฎหมายคงเหลือจำนวน 178,065,674 บาท