
“ภากร” ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย มั่นใจ “เงินลงทุนต่างชาติ” ไหลกลับเข้า SET ช่วงครึ่งปีหลัง จาก 3 สาเหตุหลัก
วันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ประเมินทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ในช่วงที่เหลือของปี 2567 หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย คาดว่าฟันด์โฟลว์จะไหลเข้ากลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน ที่ฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้ามาไม่มาก โดยปีนี้ตลาดมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยแค่ 1 ครั้งช่วงปลายปี เพราะฉะนั้นฟันด์โฟลว์น่าจะเริ่มไหลเข้าได้ประมาณช่วงปลายปี
และนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ฟันด์โฟลว์ส่วนใหญ่จะไหลเข้าในกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ เพราะฉะนั้นยัง Laggard ในส่วนของตลาดหุ้นอาเซียน คงต้องรอจังหวะ รวมทั้งตลาดหุ้นไทยรอผลของมาตรการที่จะเริ่มทยอยส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียน ที่จะเห็นผลชัดเจนในช่วงปลายปี
“แน่นอนภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออกของไทย เป็น 2 เครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ดีในครึ่งปีหลังคาดว่าการใช้จ่ายภาครัฐ จะเป็นอีกเครื่องยนต์ที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยจะเร่งตัวขึ้นปลายไตรมาส 3/2567 ดังนั้น 3 ภาพเมื่อประกอบกัน คาดหวังว่าจะเห็นฟันด์โฟลว์มีทิศทางที่น่าจะเริ่มทยอยดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากครึ่งปีแรกนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปทั้งสิ้น 115,983 ล้านบาท” ดร.ศรพล กล่าว
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวต่อว่า การลดอัตราดอกเบี้ยของประเทศทั่วโลก จะมีส่วนสำคัญที่จะทำให้สภาพคล่องมีมากขึ้น และทำให้มีเงินไหลกลับเข้ากลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น ประกอบกับหากเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ภาครัฐสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ การส่งออกและท่องเที่ยวดีขึ้น ก็คาดว่าจะหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้นตามได้
ทั้งนี้หากประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ของบริษัทจดทะเบียนไทย ค่อนข้างจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในช่วงค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่สร้างความน่าสนใจให้เห็นเงินทุนไหลกลับเข้ามาสู่ประเทศไทยมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
“ถ้าเหตุการณ์เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้คือ อัตราดอกเบี้ยโลกลดลง เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว กำไรบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ซึ่งจะสะท้อนให้ราคาของหุ้นในปัจจุบันต่ำ ก็จะมีเงินลงทุนไหลกลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซ็กเตอร์ที่มูลค่าหุ้นต่ำ ๆ” ดร.ภากร กล่าว
ส่วนทิศทางกำไรบริษัทจดทะเบียนในงวดไตรมาส 2/2567 ดร.ศรพล กล่าวว่า เชื่อว่าการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนจะกระจายตัวไปยังเซ็กเตอร์อื่น ๆ นอกจากภาคท่องเที่ยว เพราะเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจเริ่มขยับตัวดีขึ้น โดยในครึ่งหลังปีนี้ เริ่มเห็นสัญญาณเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกในประเทศกำลังพัฒนาแสดงถึงเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว
นอกจากนี้เงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มปรับลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาอันใกล้ ทำให้ธนาคารกลางสำคัญในหลายประเทศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหลังจากดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวมากว่า 3 ปี
ขณะที่การประกาศใช้ Uptick Rules ที่เริ่มในเดือนกรกฎาคม 2567 จะส่งผลทำให้มูลค่าการชอร์ตเซลเฉลี่ยรายวันปรับลดลงและช่วยลดความผันผวนของ SET Index อีกทั้งการปรับเกณฑ์กองทุน ThaiESG ให้มีระยะเวลาถือครองลดลงไปใกล้เคียงกองทุน LTF ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีเม็ดเงินลงทุนผ่านผู้ลงทุนสถาบันในประเทศจะช่วยให้ SET Index ปรับตัวดีขึ้นในอนาคต
สำหรับภาวะตลาดหุ้นในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ปิดสิ้นเดือน มิ.ย. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ 1,300.96 จุด ปรับลดลง 3.3% จากเดือนก่อนหน้า และปรับลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 โดยในเดือน มิ.ย. 2567 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มเทคโนโลยี
โดย 6 เดือนแรกปีนี้ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,238 ล้านบาท ลดลง 22.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเดือน มิ.ย. มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai จำนวน 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) (CFARM) และ บมจ.มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO)
ขณะที่ Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย สิ้นเดือน มิ.ย. 2567 อยู่ที่ระดับ 14 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.4 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.6 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.2 เท่า มีอัตราเงินปันผลตอบแทน อยู่ที่ระดับ 3.62% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.16%