TNL เปลี่ยนเกมธุรกิจ ขายหุ้น “สิ่งทอ” มุ่ง “ไฟแนนซ์” เต็มตัว

กิตติชัย ตรีรัชตพงษ์
กิตติชัย ตรีรัชตพงษ์

เดินหน้าเปลี่ยนเกมการทำธุรกิจสู่ “ธุรกิจการเงิน” เต็มสูบแล้ว สำหรับบริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL หนึ่งในบริษัทใน “เครือสหพัฒน์”ที่มีประวัติยาวนาน ก่อตั้งเมื่อปี 2518 โดยในอดีตบริษัทดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปและเครื่องหนังเป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ชั้นนำ อาทิ ARROW, Guy Laroche, DAKS, ELLE เป็นต้น

ปีแรกปรับเปลี่ยนธุรกิจโตสวย

“กิตติชัย ตรีรัชตพงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNL เปิดเผยว่า ย้อนไปในปี 2566 ซึ่งเป็นปีแรกที่ TNL เริ่มดำเนินการเปลี่ยนแปลงธุรกิจโดยเข้าลงทุนในธุรกิจการเงิน บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 2,459 ล้านบาทเติบโต 38% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YOY) มีกำไรสุทธิ 513 ล้านบาท เติบโต 403% YOY และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 18% เติบโตจาก 5% ในปี 2565

“การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญนี้ เป็นผลมาจากความสำเร็จในการผนวกรวม New Growth Engines ส่วนปี 2567 ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 1 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 659 ล้านบาท เติบโต 6% และมีผลกำไรสุทธิ 123 ล้านบาท เติบโต 16% และมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับปี 2566”

ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา รายได้บริษัทส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แต่กำไรสุทธิถูกขับเคลื่อนโดย New Growth Engines ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่อไปในอนาคต โดย ณ 31 มี.ค. 2567 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 13,447 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สิน 2,832 ล้านบาท

และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 10,615 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเท่ากับ 0.28 เท่า ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 ส่วนการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2566 อยู่ที่อัตรา 0.3 บาทต่อหุ้น

ขายธุรกิจสิ่งทอให้ “สหพัฒน์”

ทั้งนี้ ภายในสิ้นเดือน ก.ค. 2567 นี้ TNL จะขายธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ที่ดำเนินการภายใต้บริษัท ทีเอ็นแอลเอ็กซ์ จำกัด (TNLX) โดยจำหน่ายหุ้นสามัญของ TNLX ให้เครือสหพัฒน์ เพื่อที่ TNL จะเหลือแต่ธุรกิจการเงินเพียงอย่างเดียว ซึ่งการจำหน่ายหุ้นดังกล่าวจะทำให้บริษัทได้เงินสดเข้ามา 670 ล้านบาท

ADVERTISMENT

“เราจะย้ายหุ้น จากกลุ่มอุตสาหกรรม ‘สินค้าอุปโภคบริโภค’ หมวดธุรกิจ ‘แฟชั่น’ มาเป็น กลุ่มอุตสาหกรรม ‘ธุรกิจการเงิน’ หมวดธุรกิจ ‘เงินทุนและหลักทรัพย์’ หลังจากขายหุ้นเสร็จแล้ว ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ไตรมาส”

มุ่งโต 3 ธุรกิจหลัก

โดยหลังจากขายหุ้น TNLX แล้ว บริษัทก็จะเหลือ 3 ธุรกิจหลักที่จะเกื้อกูลกัน ประกอบด้วย 1.ธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน ผ่านบริษัท ออกซิเจน แอสเซ็ท จำกัด (OXA) ธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในอสังหาริมทรัพย์ โดย OXA มุ่งเน้นการให้สินเชื่อแก่กลุ่มลูกค้าบุคคลและองค์กรรายใหญ่ โดย ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 มียอดสินเชื่อคงค้าง 6,060 ล้านบาท

2.ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย ผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์ ออกซิเจน จำกัด (OAM) บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทั้งหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่มีหลักประกัน และทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) จากสถาบันการเงิน ผ่านการเจรจา ปรับโครงสร้างหนี้ และกระบวนการทางกฎหมาย โดยพอร์ตบริหารหนี้รวมมากกว่า 3,800 ล้านบาท

และ 3.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (Real Estate for Sale) ผ่านบริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (TNLA) ที่ปัจจุบันลงทุนใน 6 กิจการร่วมค้า (JV) 8 โครงการ ร่วมกับบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE) ในสัดส่วน 50 : 50 มีทั้งโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า และบ้านหรู มูลค่าโครงการรวมกว่า 22,000 ล้านบาท และมียอดขายสะสมกว่า 10,000 ล้านบาท

ปีนี้สถานการณ์ไม่ดีเน้นประคองตัว

“กิตติชัย” กล่าวว่า หลังจากขายธุรกิจสิ่งทอออกไป บริษัทก็จะขยายพอร์ตธุรกิจด้านการเงินให้เติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 3 ปี พอร์ตสินเชื่อจะถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ารักษาระดับการเติบโต 30-40% เท่ากับปีที่แล้ว แต่ยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่เหนื่อยสำหรับธุรกิจ ซึ่งการปล่อยสินเชื่อก็ต้องปรับให้ LTV (อัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน) ต่ำลง จากเดิม 50% ก็เหลือ 40%

ส่วนพอร์ตบริหารหนี้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี น่าจะถึง 10,000 ล้านบาทได้ โดยปีนี้ตั้งเป้าซื้อ NPLs มาบริหาร 1,200 ล้านบาท จากปีก่อนซื้อ 1,000 ล้านบาท แต่เน้นว่าซื้อมาแล้วต้องเก็บหนี้ได้ด้วย เพราะปีนี้เก็บหนี้ไม่ง่าย ซึ่งครึ่งปีหลัง ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่า สถานการณ์จะดีขึ้น

“สำหรับปีนี้ พูดเรื่องการเติบโตน่าจะยาก คงเน้นโตแบบไม่เจ็บ คิดแค่ว่าอย่าให้มีปัญหาดีกว่า คือ ตามเก็บหนี้ได้ ปล่อยกู้ไปแล้วมีคนนำเงินมาคืน บริหาร NPLs ให้มีประสิทธิภาพ คือ ปีนี้คุยกับใคร ก็ไม่มีใครคุยเรื่องโต ขอแค่อย่าตายก่อน ปีนี้เป็นปีที่ต้องประคองตัว เพราะเงินหายไปจากระบบเยอะ คนมีเงินก็ไม่ใช้ คนอยากใช้ แบงก์ก็ไม่ปล่อย” ซีอีโอ TNL กล่าว