YLG ชี้ทองคำในประเทศ 50,000 บาท มีโอกาสเห็นขึ้นกับปัจจัยค่าเงินบาทด้วย

ฐิภา นววัฒนทรัพย์
ฐิภา นววัฒนทรัพย์

บริษัท วายแอลจี มองเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า-โลกมีความผันผวน-สงคราม หนุนราคาทองคำพุ่ง แนวต้านที่ 2,550-2,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เผยมีโอกาสเห็นราคาทองแตะ 5 หมื่นบาท ชี้จีน-รัสเซียหันมาถือครองทองคำมากขึ้น แนะควรมีทองคำในพอร์ต 5-15%

วันที่ 21 สิงหาคม 2567 นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG กล่าวในเวทีสัมมนาในหัวข้อ “ฝ่าลมต้านเศรษฐกิจ…สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน“ ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ว่าแนวโน้มราคาทองคำโลกบริษัทคาดการณ์แนวต้านจะอยู่ที่ 2,550-2,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจไปถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้เช่นกัน และโอกาสเห็นราคาทองคำในไทยแตะระดับ 50,000 บาทก็มีความเป็นไปได้

แต่ทั้งนี้อาจจะขึ้นอยู่กับทิศทางค่าเงินบาทด้วย เพราะราคาทองคำจะปรับขึ้นหรือลงผลมาจากเงินบาทราว 35% ซึ่งจะเห็นว่าเงินบาทเคลื่อนไหวจากระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจุบันลงมาอยู่ที่ 34.00 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ ทิศทางการลงทุนในทองคำต้องยอมรับว่าจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกยังมีความผันผวนและมีหลุมอากาศตลอดเวลา ซึ่งตลาดทองคำถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Sefe Haven) และเข้ามามีบทบาทในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี หากดูสถิติย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าราคาทองคำโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2558 ราคาทองคำอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,400-1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมาในช่วงการระบาดของโควิด-19 ราคาทองคำพุ่งแรงมาก และในช่วงที่มีความขัดแย้งระหว่างประเทศ (Geopolitics) ราคาทองคำก็ปรับตัวสูงขึ้น และมองว่าการเลือกตั้งในสหรัฐ ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีราคาทองคำจะยังปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ หากดูภาพเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อราคาทองคำ จะสามารถแบ่งได้ 3 ภาพ ได้แก่ 1.ในช่วงเศรษฐกิจขาลง ตลาดหุ้นร่วง ทำให้คนหันมาถือทองคำมากขึ้น และถือเงินสดส่วนหนึ่ง 2.ภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย คนจะหันไปลงทุนในตลาดอื่นที่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และ 3.เศรษฐกิจปรับตัวดีมาก คนจะไม่ได้ถือทองคำ

ADVERTISMENT

สำหรับสัดส่วนการถือครองทองคำในพอร์ตที่เหมาะสม มองว่าสัดส่วนการถือทองคำที่ดีควรจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5-15% ของพอร์ต แต่หากเป็นพอร์ตที่มีความเสี่ยงสูง มีการถือหุ้นร้อนแรง ควรถือทองคำในสัดส่วนราว 8-15% และหากเป็นพอร์ตที่มีความเสี่ยงไม่สูงจะอยู่ประมาณ 5%

“วันนี้เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวดีมาก ตลาดทองคำยังดีอยู่ ส่วนหนึ่งคนไม่มั่นใจในดอลลาร์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิด “De-Dollarization” โดยการหาวิธีลดบทบาทค่าเงินดอลลาร์ต่อการค้าและการลงทุนของประเทศตัวเองลง เช่น ประเทศจีน ปัจจุบันมีสัดส่วนถือทองคำเพิ่มเป็น 5% จาก 2% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และจีนยังมีเหมืองในประเทศ และมีการซื้อทองคำเฉลี่ย 1,000-1,300 ตันต่อปี หรือประมาณ 20-25% ต่อปี เมื่อเทียบกับคอนซูเมอร์ของโลก เช่นเดียวกับรัสเซีย อินเดีย และรอบประเทศไทยที่มีการถือครองทองคำมากขึ้น ส่วนหนึ่งหลาย ๆ ประเทศนำทองคำมาเป็นแบล็กให้สินทรัพย์และอัตราแลกเปลี่ยนด้วย“

ADVERTISMENT

นางสาวฐิภากล่าวว่า สำหรับนโยบายที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลตลาดทองคำนั้น คือตลาดสีเทา ๆ ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดที่เรียกว่า ”Forex” ซึ่งจะมีทั้งนักลงทุนและนักศึกษาให้ความสนใจ และเห็นกลุ่มนี้มีการจัดสัมมนาปีละ 5-6 ครั้ง จึงอยากให้รัฐบาลช่วยควบคุมในตลาดนี้ให้ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น

“ประเทศไทยมีคนไทยราว 60% ที่มีการซื้อขายและออมทองตามบ้าน ซึ่งแตกต่างจากตลาดในสหรัฐและยุโรป ที่มีการซื้อผ่าน ETF แต่ไทยมีร้านทองมากกว่า 8,000 แห่ง ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายทองคำได้สะดวก และไทยถือเป็นต้นแบบในการซื้อขายทองคำ และลงทุนทองคำ Digital Online มูลค่าถึง 4 ล้านล้านบาท ซึ่งในอนาคตผู้ประกอบการและสมาคมจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มออมทองมากขึ้น”