
การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรียลเซ็กเตอร์ เซ็กเตอร์การเงิน หรือภาคส่วนอื่น ๆ ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ใครต้องทำอะไรบ้างนั้น “พิพิธ เอนกนิธิ” ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้มาบรรยายหัวข้อ “Actions for Change” บนเวทีสัมมนา “PRACHACHAT ESG FORUM 2024 Time for Action : พลิกวิกฤตโลกเดือด” ที่ทาง “ประชาชาติธุรกิจ” ได้จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
โลกร้อนทุบเศรษฐกิจกว่าโควิด
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศต่อเศรษฐกิจนั้น กรณีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 3.2 องศาเซลเซียสในปี 2593 จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 18% ของจีดีพีโลก สูงกว่าความเสียหายจากโควิด-19 ถึง 6 เท่า ส่วนเศรษฐกิจไทยจะกระทบถึง 0.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 44% ของจีดีพี และจะกระทบต่อผู้ส่งออก 0.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 45% ของการส่งออก
กติกาโลกกระทบธุรกิจไทย
ขณะที่ภายใต้กฎหมายและกติกาใหม่ที่เริ่มนำมาใช้ เช่น U.S.Clean Competition Act หรือ European Green Deal & CBAM รวมถึง China Carbon Footprint Tracking System ธนาคารได้ประเมินตัวเลขผลกระทบต่อธุรกิจไทยเบื้องต้น ในรูปแบบ CAP & TRADE และ CARBON TAX คือ 1.Energy License Business จำนวน 2,413 License 2.โรงงาน 70,000 แห่ง และ 3.ธุรกิจเฉพาะในอุตสาหกรรมเฉพาะอีกราว 10,000 โรงงาน
โดยในมุมของธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าการลดก๊าซเรือนกระจก ยึดหลักตามนโยบายประเทศ ซึ่งไทยตั้งเป้าลด Reduction from Based Year ในปี 2566-2573 อยู่ที่ 30% หากคำนวณเป็นเม็ดเงินที่ลงทุนจะอยู่ที่ 5.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7.6 แสนล้านบาทต่อปี และในปี 2573-2580 เพิ่มเป็น 50% หรือคิดเป็นเงินลงทุน 8.2 ล้านล้านบาท หรือราว 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี
ธนาคารต้องมากกว่า Banking
“พิพิธ” กล่าวว่า วันนี้ แบงก์ ไม่สามารถยืนแค่เป็น Banking ได้ ก็ต้องเป็น Beyond Banking Solution เพื่อช่วยในการเปลี่ยนผ่านได้ทั้งหมด โดยกสิกรไทยมีการนำเรื่องของ Climate Solution มาช่วย รวมถึง Carbon Credit Mechanism และเทคโนโลยีใหม่
ทั้งนี้ หากคำนวณวงเงินการปล่อยสินเชื่อและออกตราสารหนี้ให้กับบริษัทที่มีการจัดอันดับที่ดี (Rating) เพื่อรองรับเป้าหมายของภาครัฐพบว่า จะได้ใช้วงเงินสินเชื่อราว 0.44 ล้านล้านบาท และตราสารหนี้ราว 1.4 แสนล้านบาท โดยหากธนาคารกสิกรไทยมีสัดส่วนในการร่วมปล่อยสินเชื่อและออกบอนด์ราว 10% จะคิดเป็น 4.4 หมื่นล้านบาท
“รูปแบบการสนับสนุนสินเชื่อในการเปลี่ยนผ่าน จะมีทั้งในเรื่องของ Private Finance ได้แก่ บอนด์ สินเชื่อ ตั๋ว B/E, Project Finance และการลงทุน ซึ่งธนาคารสามารถทำได้ทุกผลิตภัณฑ์ รวมถึงรูปแบบ Public Finance อาทิ สินเชื่อซอฟต์โลน สินเชื่อที่มีการค้ำประกัน ตลอดจนการให้ความรู้ถึงนโยบายและการกำกับ”
ลุยตั้งบริษัทสู่ Net Zero
“พิพิธ” กล่าวอีกว่า ในส่วนของเป้าหมายไปสู่ Net Zero กสิกรไทยได้มีการเปิดบริษัท KOP50 เป็นโฮลดิ้ง คอมปะนี โดยมีความหวังว่าภายในปี 2593 จะสามารถบรรลุความสำเร็จเป็น Net Zero Thailand ได้ จึงมีความร่วมมือกับประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีบริษัท K Climate 1.5 และ Creative Climate Research Center ยังไม่ได้อนุมัติการจัดตั้ง แต่อยู่ในแผนการจัดตั้งเรียบร้อย
โดยบริษัท K Climate 1.5 จะทำในเรื่องของ Carbon Accounting เรื่องของ Reporting และ Analysis ซึ่งธนาคารมีการร่วมมือกับสมาคมนักบัญชี เพื่อทำให้เป็นมาตรฐานและสามารถนำไปใช้ เป็นการสร้างสแตนดาร์ดใหม่ของการลงระบบบัญชีคาร์บอน
“ธนาคารยังเปิดให้คนตัวเล็กสามารถเข้าร่วมในเรื่องของการลดคาร์บอน ทำให้ไรเดอร์คนตัวเล็กเช่าจักรยานยนต์ไฟฟ้าราคาถูก และสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ในพื้นที่สำคัญ โดยใช้สาขาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์”
ลดพอร์ตธุรกิจปล่อยคาร์บอนสูง
“พิพิธ” กล่าวอีกว่า การผลักดันธุรกิจให้ลดปล่อยคาร์บอน ปัจจุบันทำไปแล้ว 5 เซ็กเตอร์ ได้แก่ กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ กลุ่มถ่านหิน กลุ่มซีเมนต์ กลุ่มอะลูมิเนียม และกลุ่มพลังงาน และต่อไปจะโฟกัสในกลุ่มขนส่ง และรถยนต์ โดยจะทำในเซ็กเตอร์ที่มีความพร้อม เพราะคงไม่สามารถทำได้ทั้งหมดภายในวันนี้ พรุ่งนี้ อย่างไรก็ดี ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนเรื่องนี้ 2 แสนล้านบาทภายในปี 2573 แต่ผ่านไป 2 ปีทำได้เกือบ 1 แสนล้านบาท สะท้อนว่าลูกค้าให้ความร่วมมือกับธนาคาร
ผนึกกำลังสร้างเครือข่ายทุกระดับ
สุดท้ายคือ Creative Climate Research Center โดยมีบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ร่วมมือกับสถาบันวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลก ทำในเรื่องของความยั่งยืน พลังงาน และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้ โดยจะเน้นในเรื่องของซัพพลายเชน
“เราเชื่อว่าคนตัวใหญ่จะลากคนตัวเล็กในทุกสายการผลิตให้ไทยสะอาดขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยใช้พลังของคนตัวใหญ่ที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับโลกได้ ซึ่ง Creative Climate Research Center จะเป็นองคาพยพที่จะช่วย Transition Thailand”
นอกจากนี้ กสิกรไทย ยังผนึกกำลัง 25 องค์กร จัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (ThaiCBN) โฟกัสเรื่องของซัพพลายเชน และมีความร่วมมือกับสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน (CBiS) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดหลักสูตร Net Zero CEO Leadership Program เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาผู้บริหารระดับสูงให้สามารถเดินหน้าสู่ธุรกิจ Net Zero เพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจจาก Climate Game
“เราทำคนเดียว ทำไม่ได้ ท้ายที่สุดทุกธนาคาร ทุก ๆ อุตสาหกรรมที่เป็นผู้รู้จริง ต้องร่วมมือกัน แล้วเราจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนประเทศไทย และส่วนตัวผมยังเชื่อว่า หากเราร่วมมือกันในระดับภูมิภาค ในอาเซียน และเพื่อนบ้านของเรา เราจะมีพาวเวอร์ในการริเริ่ม หากเราทำคนเดียว เราต้องเดินตามกติกาเขาอย่างเดียว ไม่มีทางเลือกอื่น แต่ถ้าเรารวมตัวกันในอาเซียน เรามีโอกาสสร้างธุรกิจใหม่ ๆ บนกติกาใหม่ ๆ ได้อย่างไม่ใช่แค่ผู้รอดชีวิต แต่เราจะมีโอกาสเจริญงอกงามบนกติกาโลกใหม่ได้”