
คปภ.ดีเดย์ปี’68 บังคับใช้เกณฑ์เคลมประกันสุขภาพลูกค้าร่วมจ่าย 30% ชี้เดินตามข้อเสนอธุรกิจประกันชีวิต ขณะที่โบรกเกอร์วิเคราะห์ผลต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ชี้อาจได้รับเอฟเฟ็กต์จากคนไข้เข้าแอดมิตลดลง “บัวหลวง” ประเมินผลกระทบรายได้แต่ละแห่งราว 1-1.5% คาดการณ์ปีหน้า “BDMS-BH-BCH-CHG” กำไรรวมกัน 2.69 หมื่นล้าน ฟาก “อินโนเวสท์ เอกซ์” เชื่อกระทบหุ้นไม่มาก
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาคธุรกิจประกันชีวิตได้เสนอแนวปฏิบัติต่อสำนักงาน คปภ.
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในการคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้การเคลมหรืออัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ของบริษัทประกันสูงขึ้น เช่น ประกันสุขภาพเด็ก และการเคลมการป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) โดยกำหนด 3 หลักเกณฑ์ คือ
1.จะต้องมีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) สัดส่วน 30% หากผู้เอาประกันมีการเคลมเกินความจำเป็นทางการแพทย์ หรือมีการเคลมด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันในปีต่ออายุ
2.ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการศัลยกรรมและการทำหัตถการของแพทย์ตามอัตราค่าธรรมเนียมไม่เกิน 100% ของค่าธรรมเนียมแพทย์ที่ 90 เปอร์เซ็นไทล์ ตามที่กำหนดไว้ในคู่มือค่าธรรมเนียมแพทย์ ของแพทยสภาประเทศไทย และ 3.พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ Simple Diseases สำหรับเด็กอายุ 3-5 ขวบ
ทั้งนี้ แนวปฏิบัติดังกล่าวได้มีการกำหนดไว้ในคำสั่งนายทะเบียนที่ 14/2564 เรื่องหลักเกณฑ์การให้ความเห็นชอบแบบและข้อความสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ ประเภทสามัญ แบบมาตรฐาน สำหรับบริษัทประกันชีวิต (New Health Standard) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ต้นปี 2568
“ที่ผ่านมา Loss Ratio ประกันสุขภาพของแต่ละบริษัทจะไม่เท่ากัน แต่เคลมประกันสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุส่วนใหญ่เกิน 100% ส่วนเคลมประกันสุขภาพทั่วไปยังปริ่ม ๆ ไม่เกิน 100% อาจจะมีบางบริษัทเกิน 100% ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทประกันก็เข้ามาขอปรับเบี้ยอยู่เป็นระยะ ๆ”
นายปัญจพล แท่นศรีเจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเด็น Copay ประเมินอาจจะส่งผลกระทบทำให้คนไข้เข้าแอดมิตในโรงพยาบาลลดลง โดยมองหุ้นกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลระดับบนที่ค่ารักษาสูงเป็นพิเศษจะได้รับผลกระทบมากสุด อาทิ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น
“โรงพยาบาลเหล่านี้อาจจะเจอบริษัทประกันเข้มงวดขึ้นในการตรวจสอบสิทธิการเบิกเคลมบางรายการ ว่ามีความจำเป็นทางการแพทย์หรือไม่ ซึ่งอาจจะไม่จ่าย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการโยกย้ายของกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มโรงพยาบาลระดับบนลงมาสู่โรงพยาบาลระดับกลางที่เป็นระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น”
ทั้งนี้ มองว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่จะได้รับประโยชน์จาก Copay คือ โรงพยาบาลพระรามเก้า, โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลสมิติเวช ระดับกลาง ซึ่งจะเห็นได้ว่าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จะเสียประโยชน์มากสุด เพราะโรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลสมิติเวชอยู่ในเครือ BDMS จึงอาจเป็นแค่การชิฟต์พอร์ตโฟลิโอลูกค้าเท่านั้น ส่วนโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อาจจะได้ประโยชน์จากรายได้ Copay บ้าง แต่ก็ยังมีแรงกดดันใหญ่จากเรื่องค่ารักษาประกันสังคมอยู่
“แนวทาง Copay ค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะถูกกว่าแบบทั่วไปเกือบ 30-50% เช่น ปีหนึ่ง ๆ เราซื้อประกันสุขภาพ จ่ายค่าเบี้ย 30,000 บาท แต่ถ้าซื้อแบบ Copay จะจ่ายค่าเบี้ยแค่ 18,000-20,000 บาท แนวทางนี้เราเริ่มเห็นการใช้กับกลุ่มผู้ป่วยเด็กในปี 2567 เพราะป่วยบ่อยและบ่อยถี่จนบริษัทประกันเริ่มเห็นการขาดทุน”
นายปัญจพลกล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าสัดส่วนรายได้ลูกค้าประกันสุขภาพเอกชนของ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) คิดเป็น 19% ของรายได้รวม, บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) คิดเป็น 15-20% ของรายได้รวม, บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) คิดเป็น 38% ของรายได้รวม และ บมจ.บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) คิดเป็น 25-30% ของรายได้รวม (ข้อมูลสิ้นไตรมาส 3/2567)
ประเมินผลกระทบปี 2568 บนสมมุติฐานกลุ่มผู้ป่วยเด็กหายไปหมดจากแนวทาง Copay จะกระทบรายได้โรงพยาบาล 2% แต่ในความเป็นจริงนั้นคงไม่ได้หายไปหมด ประเมินกรณีเลวร้ายสุดอาจหายไปแค่ 50% เพราะฉะนั้นมองผลกระทบต่อรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลระดับบนน่าจะไม่เกิน 1% ของรายได้รวม (BH, BDMS) และกระทบไม่เกิน 1.5% ของรายได้รวมของกลุ่มโรงพยาบาลระดับกลาง (BCH, CHG)
ทั้งนี้ คาดการณ์รายได้รวมปี 2568 โรงพยาบาล 4 แห่ง (BH, BDMS, BCH, CHG) จะอยู่ที่ 160,000 ล้านบาท เติบโต 4% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) โดย BDMS มีรายได้รวม 113,000 ล้านบาท เติบโต 5% BH มีรายได้ 25,800 ล้านบาท เติบโต 2% BCH มีรายได้ 12,500 ล้านบาท เติบโต 5% และ CHG มีรายได้ 9,200 ล้านบาท เติบโต 6%
และคาดการณ์โรงพยาบาล 4 แห่ง จะมีกำไรสุทธิ 26,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YOY โดย BDMS เติบโตแข็งแกร่ง 6% อยู่ที่ 11,600 ล้านบาท BH มีกำไร 7,600 ล้านบาท ทรงตัว 0% BCH มีกำไร 1,458 ล้านบาท เติบโต 7% และ CHG เติบโต 9% อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท
นางสาวระวีนุช ปิยะเกรียงไกร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า การที่ประกันสุขภาพเป็นแบบ Copay มากขึ้น อาจจะส่งผลกระทบทําให้คนไข้เข้าแอดมิตลดลง
โดยเฉพาะในการป่วยเล็กน้อยทั่วไป แต่การบริการส่วนนี้ไม่ได้เป็นส่วนหลักของรายได้โรงพยาบาล และ Copay น่าจะไม่ได้เกิดกับทุกกรมธรรม์ประกัน สะท้อนว่าผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นไม่มาก
ซึ่งจากข้อมูลโรงพยาบาลพบว่า สัดส่วนรายได้จากประกันสุขภาพเอกชน (คนไข้ไทย) BDMS 30% ต่อรายได้รวม, BCH 24% ต่อรายได้รวม, CHG 24% ต่อรายได้รวม และ BH 19% ต่อรายได้รวม แต่สัดส่วนการป่วยเล็กน้อยทั่วไปไม่ใช่สัดส่วนหลัก จึงประเมินที่ราว 10% ของรายได้จากประกันสุขภาพเอกชน หรือจะคิดเป็น 2-3% ของรายได้รวม
“อย่างไรก็ดี เรามองว่าเบี้ยประกันที่จะลดลง หากมีการใช้ Copay น่าจะเป็นปัจจัยบวกให้มีการเข้าถึงประกันสุขภาพเอกชนได้มากขึ้นในระยะยาว”