สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง กับมาตรการ “แก้หนี้” ที่เปลี่ยนไป

Resolve new debt สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง กับมาตรการ “แก้หนี้” ที่เปลี่ยนไป
คอลัมน์ : แบงก์ชาติชวนคุย
ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย

แม้การนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่อีกหลายท่านอาจยังตั้งตารอนับถอยหลังเพื่อปิดจบหนี้อยู่ โดยเฉพาะคนที่ชีวิตถูกขับเคลื่อนด้วยการทำงานมาจ่ายหนี้ทุกเดือน

เพื่อเป็นกำลังใจให้คนที่อยากปิดจบหนี้ทุกคน วันนี้จึงขอเริ่มต้นปี 2568 ด้วยการเล่าสู่กันฟังถึงมาตรการแก้หนี้ต่าง ๆ ที่ได้ปรับตามสถานการณ์ รวมถึงโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่เป็นมาตรการล่าสุด เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการจ่ายหนี้ด้วย

จากปูพรมสกัดโควิด สู่ภารกิจช่วยกลุ่มเปราะบาง

การแก้หนี้ครัวเรือน ควรทำแบบครบวงจรทั้งการลดภาระหนี้เดิมและการเติมเงินใหม่ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมวินัยทางการเงิน อีกทั้งต้องทำให้ตรงจุด เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีไปกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด รวมทั้งสอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสถานการณ์ของลูกหนี้ในแต่ละช่วงเวลา ที่สำคัญต้องมีช่องทางในการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือที่สะดวกสำหรับลูกหนี้ อย่างการมี “คลินิกแก้หนี้” ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อเป็นตัวกลางเจรจาและให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้เสียและมีเจ้าหนี้หลายราย

การระบาดของโควิดทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงขึ้นมาก การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงต้องคำนึงถึงทั้งในแง่การจัดการกับเหตุการณ์หนี้เฉพาะหน้า และการปูทางไปสู่การแก้หนี้อย่างยั่งยืนในอนาคต เพื่อไม่ให้กลายเป็นความเสี่ยงฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จึงถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายและความเสี่ยงมาอย่างต่อเนื่อง

ปูพรม – จำกัดความเสียหาย ในปี 2563 ที่โควิดระบาดหนัก ส่งผลต่อเศรษฐกิจและรายได้ของประชาชนอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ทำให้มี “มาตรการพักชำระหนี้ระยะสั้น” ออกมาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับลูกหนี้เป็นวงกว้าง และช่วยเหลือผู้ถูกกระทบได้เร็วที่สุด

เจาะกลุ่ม – พยุงคนเดือดร้อน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์โควิดยืดเยื้อชัดเจน มาตรการช่วยเหลือจึงปรับให้เป็นแบบเจาะจงเพื่อช่วยคนเดือดร้อนได้เต็มที่ขึ้น โดยมีชุดมาตรการออกมาในปี 2564-2565 ไม่ว่าจะเป็น “สินเชื่อฟื้นฟูฯ” เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทุนหมุนเวียน และสามารถจ้างงานให้คนยังมีรายได้ รวมถึง “มาตรการพักทรัพย์พักหนี้” ที่ผู้ประกอบการสามารถนำสินทรัพย์มาตีราคาจ่ายหนี้ และกลับมาซื้อคืนเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการผ่อนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้สถาบันการเงินช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้เพิ่มขึ้นภายใต้ “มาตรการแก้หนี้ระยะยาว”

ADVERTISMENT

เจ้าหนี้รับผิดชอบ – วางกรอบแก้หนี้ยั่งยืน เมื่อวิกฤตผ่านไป มาตรการต่าง ๆ เริ่มทยอยปรับกลับสู่ภาวะปกติ แต่ยังต้องช่วยให้ลูกหนี้ลดภาระได้อย่างยั่งยืนขึ้น ปี 2567 จึงมี “มาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)” ที่สถาบันการเงินต้องดูแลลูกหนี้แบบครบวงจร ตั้งแต่การโฆษณาและการให้ข้อมูลการกู้ยืมที่ไม่ทำให้คนก่อหนี้เกินตัว การให้สินเชื่อที่เหมาะกับศักยภาพทางการเงินของลูกหนี้ การให้บริการที่เป็นธรรมด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ตลอดจนการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้เดิมทั้งก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย

ช่วยกลุ่มเปราะบาง – รอการฟื้นตัว แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจจะกลับมาใกล้เคียงกับก่อนโควิดแล้ว แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างก็ทำให้รายได้ของบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การแก้หนี้จึงต้องโฟกัสไปที่กลุ่มนี้มากขึ้น

ADVERTISMENT

ประคอง “กลุ่มเปราะบาง” กรุยทางให้ฟื้นตัว

“เปราะบาง” ในแง่นี้คือ คนที่เริ่มมีปัญหาค้างชำระ โดยตั้งแต่ปี 2564 เริ่มมีลูกหนี้ที่ค้างชำระนานกว่า 1 เดือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น คนที่กู้ซื้อบ้านและ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5 ล้านบาท

การจ่ายหนี้ที่เริ่มสะดุดสะท้อนว่า คนกลุ่มนี้เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง หากไม่รีบประคองไว้ก็อาจต้องเสียทรัพย์สินที่มีอยู่ ลุกลามเป็นหนี้เสีย กระทบต่อการทำธุรกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงต้องการลดภาระหนี้ที่ “มากขึ้น” และ “นานขึ้น” และเมื่อรายได้ฟื้นกลับมาก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้

“คุณสู้ เราช่วย” ภารกิจแก้หนี้ ที่มาเป็นทีม

“คุณสู้ เราช่วย” เป็นโครงการแท็กทีมของภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง โดยเงินครึ่งหนึ่งมาจากเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่รัฐให้ธนาคารพาณิชย์นำส่งลดลงครึ่งหนึ่ง (เหลือ 0.23% จาก 0.46% ของยอดเงินฝาก) เพื่อนำเงินอีกส่วนไปช่วยลูกหนี้ รวมถึงงบประมาณตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่ชดเชยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ 38,920 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งมาจากการสมทบของสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ครอบคลุมลูกหนี้กว่า 1.9 ล้านราย รวม 2.1 ล้านบัญชี ยอดหนี้ราว 8.9 แสนล้านบาท โดยมี 2 มาตรการย่อยสำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และบริษัทลูก รวมทั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

1.มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์”

สำหรับคนที่ ณ 31 ตุลาคม 2567 ค้างจ่ายหนี้ตั้งแต่ 30-365 วัน หรือเคยค้างจ่ายเกิน 30 วัน แต่ปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 กำลังกลัวว่าจะถูกยึดทรัพย์ หากทำสัญญากู้เงินไว้ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 และวงเงินไม่สูงมาก (บ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท รถยนต์ไม่เกิน 8 แสนบาท มอเตอร์ไซค์ไม่เกิน 5 หมื่นบาท และ SMEs ไม่เกิน 5 ล้านบาท) สามารถสมัครเข้าร่วมมาตรการนี้เพื่อปรับค่างวดลงเหลือ 50% ของค่างวดเดิมในปีแรก 70% ในปีที่ 2 และ 90% ในปีที่ 3

โดยแขวนดอกเบี้ยไว้ และนำค่างวดไปตัดจ่ายเงินต้นทั้งหมด ซึ่งหากจ่ายหนี้ครบ 3 ปี โดยปีแรกไม่ได้ขอสินเชื่อใหม่ ก็จะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยใน 3 ปีนั้นไปเลย ซึ่งจะทำให้ก้อนหนี้เล็กลง ประหยัดดอกเบี้ย และในหลายกรณีจะปิดจบหนี้ได้ไวขึ้น

2.มาตรการ “จ่าย ปิด จบ”

รู้หรือไม่ว่าจากหนี้เสียที่มีอยู่เกือบ 1 ล้านบัญชี มีมากกว่า 3 แสนบัญชี ที่ยอดคงค้างไม่เกิน 5,000 บาท โดยบางคนอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะได้สถานะนี้มาแบบไม่ตั้งใจ เช่น เจ้าหนี้ไม่ได้ติดตามเพราะยอดค้างจ่ายไม่มาก จึงอยากให้คนที่เคยขอสินเชื่อไม่ผ่าน ลองเช็กประวัติดู หากมีหนี้เสีย (ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567) ไม่เกิน 5,000 บาท สามารถเจรจาจ่ายบางส่วนกับธนาคารเพื่อเปลี่ยนสถานะจาก “หนี้เสีย” เป็น “ปิดจบหนี้” ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต

และในเร็ว ๆ นี้ จะมีมาตรการคล้าย ๆ กัน ให้กับลูกหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Nonbanks) อีก 7 แห่งด้วย

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการแก้หนี้ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ BOT Contact Center โทร. 1213 และลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ของ ธปท. ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568

สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการลดภาระหนี้เป็นเพียงส่วนเดียวในการแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังมีอีกปัจจัยสำคัญ นั่นคือการกลับมามี “รายได้ที่มั่นคง” เมื่อใดที่ทั้งสองอย่างนี้ประกอบกัน การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงจะยั่งยืนได้

สวัสดีปีใหม่ 2568 ขอให้ปีมะเส็ง ไม่มีเรื่องเซ็ง และมีแต่เรื่องราวดี ๆ แล้วพบกันใหม่ค่ะ