
”พิชัย“ ขุนคลัง เล็งเสนอ ครม.ภายในเดือน ก.พ. 68 เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวน ลดขั้นตอนได้เร็วขึ้น 6-7 เดือน หวังฟื้นความเชื่อมั่น-จำกัดความเสียหาย คาดมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา พร้อมเผยให้ สบน.ออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 10,000 ล้าน ในรูปแบบ Tokenization คล้ายกับ Stablecoin ภายในปีนี้ หวังกระตุ้นตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือน ก.พ. 2568 กระทรวงการคลังเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเป็นพนักงานสอบสวน โดยทำสำนวนเองและส่งอัยการ ซึ่งจะลดขั้นตอนการดำเนินการ และให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ทันการณ์
และเพื่อให้ ก.ล.ต.มีอำนาจสั่งการและดำเนินการในคดีอาญาได้เร็ว ในกรณีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบในวงกว้าง (High-Impact) โดยจะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งทำให้การดำเนินคดีผู้กระทำผิดจะรวดเร็วยิ่งขึ้น และช่วยทำให้เกิดความเสียหายลดลง เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมามากขึ้น
“เชื่อว่าหากลดขั้นตอนตรงนั้นไปได้ จะช่วยให้ ก.ล.ต.ดำเนินคดีได้เร็วขึ้น และเรื่องแต่ละคดีไปสู่ศาลได้เร็วอย่างน้อย 6-7 เดือน ส่วนคำนิยามของเคส High-Impact ทางบอร์ด ก.ล.ต.คงต้องไปหารือเพื่อกำหนดร่วมกันก่อน ทั้งมูลค่าความเสียหาย/จำนวนผู้เสียหาย“ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวเสริม
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายรอบนี้มีด้วยกัน 4-5 ประเด็น โดยสาระสำคัญคือการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต.เป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งทำให้สำนวนหรือระยะเวลาดำเนินการกระชับมากขึ้น โดยในชั้นสอบสวน ก.ล.ต.จะมีการทำงานร่วมกับตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งจะขึ้นอยู่เคสคดีที่จะเข้าเงื่อนไข
นอกจากนี้ จะเพิ่มบทลงโทษจากการกระทำความผิดในการซื้อขาย เช่น ชอร์ตเซล ที่จะดำเนินการไปถึงตัวผู้กระทำผิดที่จะต้องรับโทษทางกฎหมาย และเรื่องอื่น ๆ จะเกี่ยวข้องกับการยกระดับพวก Gatekeeper ที่ปัจจุบันมีข้อจำกัดเรื่องของดำเนินการ เช่น การเอาผิดกับสำนักงานสอบบัญชี, การเข้มงวด FA เป็นต้น
รมว.คลังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวงการคลังอยากเห็น ก.ล.ต.ใช้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำเรื่อง Asset-backed, tokenization หรือ token ที่มี Asset-backed เพราะวันนี้ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์เดิม หรือสินทรัพย์ดิจิทัล จริง ๆ ก็เป็นนักลงทุนกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้น ต้องเชื่อมกันได้อย่างไม่มีรอยต่อ
โดยปัจจุบันเห็นว่ามีเงินค้างอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก บางบริษัทมีหลายแสนล้าน จึงอยากจะเห็นบริษัทหลักทรัพย์ หรือ บล.หันมาประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากขึ้น เพราะเป็นผู้ที่มีความเข้าใจเพราะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.อยู่แล้ว เพื่อจะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งดีกว่าจะไปเซตบริษัทใหม่ขึ้นมา และน่าจะทำให้การดำเนินการไหล่ลื่นไปได้ เพียงแต่เวลานี้จะทรานซิชั่นกันอย่างไรเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังมีแผนที่จะให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในรูปแบบ tokenization คล้ายกับ stablecoin โดยวางแผนจะออกภายในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ และปรับปรุงระบบเดิมเพื่อเชื่อมเข้าด้วยกัน ก็หวังจะสร้างดีมานด์และซัพพลายในตลาดบอนด์ และเฟสต่อไปคงจะพัฒนาไปเชื่อมกับร้านค้าในการซื้อของได้ในอนาคต
“ปกติเวลาจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับแบงก์ชาติ เราก็จะส่งให้รีวิวอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็คงส่งให้ดู อย่างไรก็ตาม กำลังดูแนวทางว่าโมเดลนี้จะให้ใครกำกับดูแลระหว่าง ก.ล.ต. หรือ ธปท.” รมว.คลังกล่าว