“อัสสเดช” ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย ชี้ตลาดหุ้นไทยถึงจุดที่น่าสนใจ หลังโบรกเกอร์ต่างชาติเพิ่มน้ำหนักลงทุน ด้านฟันด์โฟลว์ไหลออกเริ่มนิ่ง คาดเริ่มสลับไหลกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น ฟากกองทุนรวมในประเทศเริ่มแอกทีฟ เล็งหารือคลัง เดินหน้าโครงการ Jump+ คาดชัดเจนภายในช่วง 2-3 เดือน มั่นใจความเชื่อมั่นกลับมาได้
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงกรณีโบรกเกอร์ต่างชาติให้น้ำหนักตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น มองว่าเป็นสิ่งที่ดีและสะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งตลาดหุ้น รัฐบาล และนโยบายต่าง ๆ ที่กำลังสนับสนุนกันอยู่ ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นน่าจะถึงจุดในมูลค่าที่น่าสนใจด้วย แต่สิ่งที่อยากจะให้เน้นต่อเนื่องคือ การสร้างมูลค่า เพราะในวันนี้นักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจแล้ว
ขณะที่แนวโน้มเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เท่าที่ดูไม่ได้ไหลออกอย่างเดียวเหมือนในอดีต ซึ่งตอนนี้การไหลออกก็เริ่มนิ่ง สลับมีการไหลเข้ามามากขึ้น รวมถึงกองทุนรวมในประเทศ (นักลงทุนสถาบัน) ก็เริ่มแอ็กทีฟมากขึ้น ซึ่งคิดว่านักลงทุนทุกภาคส่วนเริ่มเห็นมูลค่าของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) น่าสนใจขึ้นมาก และหากดูข้อมูลการจ่ายเงินปันผลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตตลอด ซึ่งกำลังการจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และก็เป็นตัวพยุงที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในส่วนคำถามที่ว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดหรือยังนั้น มองว่ายังทำนายไม่ได้ เพราะมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกประเทศนั้นสำคัญ และเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอยู่ตลอด ซึ่งเมื่อวานนี้ (19 มี.ค. 2568) แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ลดดอกเบี้ย แต่ก็แนวโน้มที่ดีที่มีการส่งสัญญาณจะลดดอกเบี้ยในอนาคตต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐยังเติบโตได้ แต่คอมเมนต์ที่เฟดระบุและเห็นชัดเจนว่าสงครามการค้ายังมีโอกาสรุนแรงขึ้นได้ ซึ่งคงต้องจับตาดูให้ดีว่าจะกระทบ บจ.ไทยมากน้อยแค่ไหน เพราะวันนี้ยังไม่เกิดขึ้นโดยตรงก็กระทบแล้ว ทำให้ตอบยากว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือไม่ ดังนั้นยังมีปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่ต้องคอยศึกษาให้ดี

“เชื่อว่ามีหลายปัจจัยที่ช่วยเหลือกันอยู่ เพราะช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2568 คาดว่าเม็ดเงินกองทุน Thai ESGX ก็น่าจะเริ่มเข้ามา และกองทุนวายุภักษ์ก็หวังว่ายังมีทุนเหลืออยู่ และในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าโครงการ Jump+ ที่อยู่ระหว่างการออกแบบจะเป็นตัวที่สานต่อกัน ส่วนเรื่องการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ตอนนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นอยู่ เท่าที่คุยกับกระทรวงพาณิชย์ทุกภาคส่วนเห็นด้วยแล้ว ซึ่งหากหมดขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นก็น่าจะผ่านออกมาได้เร็ว” นายอัสสเดชกล่าวและว่า
สำหรับโครงการ Jump+ คงต้องคุยรายละเอียดกับ รมว.คลังเพิ่มเติม เพราะว่ากระทรวงการคลังต้องคำนึงในหลาย ๆ มุมมองในการสนับสนุน แต่โดยหลักการท่าน รมว.คลัง เห็นด้วยแน่นอน เนื่องจากท่านให้สัมภาษณ์มาโดยตลอดว่าในที่สุดต้องกลับมาดูที่พื้นฐานและระยะยาวให้ยั่งยืนเติบโต รวมไปถึงมีการแข่งขันที่เหมาะสม โดยตั้งใจจะประกาศเปิดตัวโครงการ Jump+ อย่างเป็นทางการในช่วงสิ้นเดือน พ.ค. 2568
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษามากขึ้น เพราะในที่สุดทางกระทรวงการคลังต้องมีกฎกระทรวงออกมาที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนในรูปแบบไหน พร้อมหวังว่าภายในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ต้องทำให้สำเร็จ
ส่วนกรณีเข้าพบท่านนายกรัฐมนตรีนั้น มองว่าท่านดูทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งในระยะสั้นท่านได้เน้นย้ำเรื่องความเชื่อมั่นในตลาดทุน (Trust and Confidence) ว่าจะปรับปรุงขั้นตอนต่าง ๆ อย่างไร ให้สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยให้กลับมาได้ ซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ท่านได้ติดตามว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯก็ได้รายงานว่าหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีการประสานงานกันมากขึ้น เพื่อให้ลดหย่อนข้อมูลที่จะเข้าถึงกันและดำเนินการในอนาคตได้รวดเร็วขึ้น
ส่วนในระยะยาวท่านก็เน้นย้ำการพัฒนาพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะทำอย่างไรให้ บจ.ต่าง ๆ เติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมไปถึงโฟกัสในการขยายกิจการของตัวเอง ซึ่งก็ตรงกับโครงการ Jump+ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังดำเนินการอยู่พอดี
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯในฐานะด่านหน้า ซึ่งตลาดทุนไทยปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 35 ล้านล้านบาท (รวมทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย) ซึ่งมีนักลงทุนประมาณ 20 ล้านคน รวมถึงกองทุนต่าง ๆ ด้วย ซึ่งฟีดแบ็กที่ได้มาจากทุกภาคส่วนในเรื่อง พ.ร.ก. ที่จะสร้างความเชื่อมั่นหลาย ๆ อย่าง ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เสนอมาในการเพิ่มอำนาจเป็นพนักงานสอบสวน ทุกภาคส่วนเห็นด้วยและอยากจะสนับสนุน เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น
ส่วนการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่วางแผนไว้ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีโครงการหรืองานต่าง ๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจัดเป็นประจำอยู่แล้ว อาทิ งานไทยแลนด์โฟกัส แต่หลังจากที่ประกาศโครงการ Jump+ ไปนั้นก็เริ่มมี บจ.ต่าง ๆ ที่เข้ามาร่วมในโครงการนี้ โดยจุดสำคัญอย่างหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯมุ่งมั่นมากคือ บจ.ต้องเอาแผนงานเหล่านี้ไปสื่อสารให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้รับทราบและเข้าถึง
นอกจากนี้มั่นใจว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทยจะกลับมาได้ เพราะพื้นฐานตลาดหุ้นไทยหากดูลงลึก ๆ จะพบว่าที่ผ่านมามีการเจริญเติบโตในระดับที่เรียกว่าน่าสนใจ แม้ดูโดยรวมจะเหมือนว่ารายได้หรือกำไรของ บจ.ไทยลดลง แต่หากเอาปัจจัยภายนอก เช่น ธุรกิจพลังงาน, ปิโตรเคมี และปิโตรเลียม ดึงกลุ่มพวกนี้ออกจริง ๆ จะพบว่า บจ.ในตลาดหุ้นไทย ยังมีกำไรเติบโตค่อนข้างดี โดยตลาดหลักทรัพย์ฯจะเอาตรงนี้ไปสื่อสารกับนักลงทุนและเป็นส่วนหนึ่งของการโรดโชว์กับนักลงทุนที่ต้องทำ
อย่างไรก็ตาม มองว่ากลุ่มที่เป็นจุดแข็งของตลาดหุ้นไทยคือ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มบริการ และเฮลแคร์ ซึ่งอยากจะผลักดันกลุ่มเหล่านี้ให้ขึ้นมาเหมือนกัน หากปีนี้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ตามเป้า 40 ล้านคน ซึ่งถือว่าสูงกว่าช่วงก่อนโควิด และถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศด้วย