CIMBT ชี้ภาษี ‘ทรัมป์’ เสี่ยงฉุด GDP โตต่ำกว่า 2% กนง.ส่อหั่นดอกเบี้ย

อมรเทพ จาวะลา

“ดร.อมรเทพ” ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร CIMBT ประเมินภาษี “ทรัมป์” เสี่ยงฉุด GDP ไทยโตต่ำกว่า 2% เหตุส่งออกไปสหรัฐสัดส่วนสูง แนะเร่งเจรจาลดผลกระทบ พร้อมเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาด กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ย 30 เม.ย.นี้ หากเจรจายาก-ภาษีเกิดจริง

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุถึงกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐขึ้นภาษีหลายประเทศ โดยไทยถูกเก็บถึง 36% ว่า เมื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจคือความมั่นคงของชาติ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ชาติต่าง ๆ (นี่แบบลดราคาให้แล้วครึ่งนึง) พร้อมประกาศว่าเป็น Liberation Day หรือวันปลดแอกที่สหรัฐถูกชาติต่าง ๆ แย่งชิงทรัพยากรและความมั่งคั่งไป พร้อมจะตอบโต้แบบตาต่อตา คือใครทำอะไรกับสหรัฐ สหรัฐก็จะทำคืน และบอกว่าภาษีที่จัดเก็บได้นี้จะมาลดหนี้ นำมาใช้จ่ายให้คนสหรัฐ ซึ่งมองต่อได้คือ

1.ทรัมป์ตั้งใจลดการพึ่งพิงจีนและชาติที่ไม่ใช่พันธมิตร ? แท้ ๆ ของสหรัฐ ? อยากย้ายฐานการผลิตกลุ่มชิป เซมิคอนดักเตอร์ โทรศัพท์ มือถือ คอมพิวเตอร์ และรถยนต์ กลับมาสหรัฐ โดยการขึ้นภาษีเพื่อให้โรงงานในต่างประเทศย้ายกลับไปตั้งฐานในสหรัฐ รวมทั้งเตรียมความพร้อมหากเกิดสงคราม เช่น ยาและเวชภัณฑ์อื่น ๆ

2.ตั้งใจแก้ปัญหาระยะยาว เพราะหากทรัมป์ไม่ทำอะไร ประสิทธิภาพ การผลิตในสหรัฐจะแย่ลง ต้องสู้เพื่อให้ประเทศอื่นยอมลดภาษีนำเข้า ข้อจำกัดทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี มีการอุดหนุนสินค้าส่งออก แย่งทรัพย์สินทางปัญญา ใช้ระบบ VAT เพื่อเอาเปรียบสินค้าจากสหรัฐ การบิดเบือนค่าเงิน และอื่น ๆ (ส่วนของ Non tariff barrier มีมากและยากที่จะประเมิน)

3.ทรัมป์ในช่วงนึงหยิบยกรายงานของตัวแทนการค้าสหรัฐ Foreign Trade Barrier ขึ้นมาอ่านรายละเอียดแล้วจะรู้ว่าชาติต่าง ๆ เก็บภาษีจากสหรัฐอย่างไร เช่น สหรัฐเก็บภาษีนำเข้ารถมอเตอร์ไซค์จากประเทศอื่น 2.4% แต่ไทยเก็บจากสหรัฐ 60% เวียดนามเก็บที่ 75% หรือด้านรถยนต์ที่สหรัฐเก็บจากประเทศอื่น 2.5% แต่ยุโรปเก็บจากสหรัฐ 10% แถมมี VAT อีก 20% และยังบอกว่ามีมาตรการอื่นนอกจากภาษีอีกมาก จนรถในเกาหลีใต้เป็นรถที่ผลิตเอง 81% ญี่ปุ่น 94% แทบไม่มีรถนำเข้า (คุ้น ๆ ว่าในสหรัฐครึ่งต่อครึ่งเป็นรถที่ผลิตเองและรถนำเข้า)

อีกทั้งกลุ่มภาคเกษตรที่ต่างชาติห่วงว่าสินค้านำเข้าจะกระทบเกษตรกร ทรัมป์บอกเขาจะเอาคืนด้วยการเก็บภาษี เพราะบางประเทศ เช่น ออสเตรเลียไม่ให้นำเข้าเนื้อวัวจากสหรัฐ หรือจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเก็บภาษีนำเข้าข้าวสูงมาก

ADVERTISMENT

4.ภาษี Universal tariff (ทรัมป์เรียกว่า minimum cheating) จะเก็บที่ 10% ในวันที่ 5 เมษายน ส่วน Reciprocal tariff จะเก็บวันที่ 9 เมษายน (ภาษีจากจีนจะพุ่งไป 54%) ขณะที่ภาษีจากแคนาดาและเม็กซิโกจะเลื่อนไปรอดูการตรวจสอบการแก้ปัญหายาเสพติดและผู้อพยพผิดกฎหมาย

5.ทรัมป์วางแผนจะใช้ภาษีนี้ลดหนี้ และกล่าวถึงแผนการจะลดภาษีในประเทศ รวมทั้งการเลื่อนการชำระหนี้ (debt extension) ซึ่งประเด็นหลังนี้จะรอดูความชัดเจนว่าจะเป็นการสลับหนี้สั้นไปหนี้ยาวอย่างที่เป็นข่าวไหม แล้วดอกเบี้ยจะคิดอย่างไรซึ่งอาจกระทบตราสารหนี้

ADVERTISMENT

6.แนวทางแก้ปัญหาหลังจากสงครามการค้ารุนแรง-ทรัมป์บอกวิธีแก้ไว้แล้วว่า ให้ลดภาษีนำเข้า ยกเลิก Nontariff barrier หยุดบิดเบือนค่าเงิน เร่งนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ และมาลงทุนที่สหรัฐ ส่วนประเทศต่าง ๆ เตรียมรับมือเช่นกัน เช่น ยุโรปกำลังหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนจีนจะหามาตรการจำกัดการย้ายฐานไปสหรัฐเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง

“แล้วไทยจะทำอะไรได้หลังจากนี้ ผมมองว่าน่าจะทำตามที่ทรัมป์เสนอบ้าง อย่างน้อยก็แสดงความจริงใจ และเพิ่มการต่อรอง เร่งให้ข้อมูลว่าตัวภาษีที่ไทยเก็บจากสหรัฐไม่ได้สูงอย่างที่สหรัฐเห็น แต่ต้องเร่งประสานงาน ว่าเขาใช้อะไรวัด ขณะเดียวกัน เราต้องเตรียมแผนรับมือผลกระทบด้วย เช่น การสวมสิทธิจากจีน สินค้าจีนทะลักกระทบภาคการผลิตไทย และหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแจกเงิน แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างงาน สร้างรายได้ หามาตรการทางการเงินดูแลผู้ได้รับผลกระทบ คาดว่าหากเจรจายาก และภาษีเกิดจริง กนง. (คณะกรรมการนโยบายการเงิน) น่าลดอัตราดอกเบี้ยลงรอบ 30 เมษายนนี้”

ส่วน GDP ไทยจะกระทบแค่ไหน ตนเองห่วงว่ามีโอกาสโตต่ำ 2% เป็น Downside Risk (เราส่งออกสินค้านับเป็น 60% GDP ส่งไปสหรัฐเกือบ 20% ของการส่งออกทั้งหมด รวม ๆ เกิน 10% ของ GDP ไทย ถ้าส่งออกไปสหรัฐติดลบจะกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงก็ก้อนใหญ่ที่ส่งไปสหรัฐ ทางอ้อมคือที่ส่งไปประเทศอื่น อย่างจีน เวียดนาม ยุโรปที่จะลำบากมากขึ้นตามกำลังซื้อที่อ่อนแอลง) ส่วนท่องเที่ยวก็น่ากระทบด้วย เพราะคนขาดความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ จำนวนนักท่องเที่ยวอาจโตจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคนมาแถว ๆ 37-38 ล้านคน แทนที่จะทะลุ 39 ล้านคนได้

“ไว้จะรอประเมินกันอีกที แต่ความชัดเจนน่าเกิดก่อนสงกรานต์นี้”