
หลังจากกระทรวงการคลังคิกออฟโครงการค้ำประกันสินเชื่อ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ไป ตั้งเป้าหมายเฟสแรกวงเงิน 5,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากยังมีแค่ 4 สถาบันการเงินที่เข้าร่วม ทำให้ความคืบหน้าในเชิงวงเงินที่ใช้ไปอาจจะยังไม่มากเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี แนวโน้มน่าจะดีขึ้น เนื่องจากโครงการดังกล่าว จะทำให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
เตรียมปรับโครงการ เฟส 2
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า โครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ “บสย. SMEs PICK-UP” ภายใต้โครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ล่าสุด บสย.อนุมัติค้ำประกันแล้วประมาณ 50 คัน ยังไม่ได้สูงมาก ส่วนหนึ่งมาจากสถาบันการเงิน ต้องมีการเตรียมระบบ แต่จะเห็นตัวเลขที่มากขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2568 เป็นต้นไป
ปัจจุบันมีสถาบันการเงิน 4 แห่งเข้าร่วม ได้แก่ ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) ธนาคารทิสโก้ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) และบริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด
“ยังมีตัวเลขรถกระบะที่อยู่ในกระบวนการ ซึ่งได้ยอดจากงานมอเตอร์โชว์อีกเกือบ 700 คัน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนที่ไฟแนนซ์พิจารณาวงเงินสินเชื่อ ขณะที่ บสย.อนุมัติไปแล้ว 50 คัน วงเงินเฉลี่ยต่อคันอยู่ที่ 6 แสนบาท แต่ บสย.ให้วงเงินสูงสุดต่อราย 1.5 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินจะขึ้นอยู่กับว่าหักยอดดาวน์แล้ว เหลือยอดสินเชื่อเท่าไร แล้วจึงส่งให้ บสย.ค้ำ”
สำหรับเฟสแรก วงเงิน 5,000 ล้านบาท คาดว่าจำนวนรถกระบะที่ได้รับการค้ำประกัน จะอยู่ที่ 6,000 คัน ขณะเดียวกันก็เตรียมเดินหน้าเฟส 2 วงเงินอีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทันทีหลังเฟสแรกเต็มวงเงิน
เล็งขยายขอบเขตไฟแนนซ์
นายสิทธิกรกล่าวว่า อย่างไรก็ดี หลังวันที่ 1 มิ.ย. 2568 ต้องจับตาพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดให้การประกอบธุรกิจทางการเงินบางประเภทอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. …. จะบังคับใช้ ซึ่งเป็นกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ออกมาเป็นกฎหมายเฉพาะในการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ครอบคลุมผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์)
“พ.ร.ฎ.ดังกล่าว เป็นโอกาสของ บสย.ที่จะขยายขอบเขตโครงการให้ครอบคลุมไฟแนนซ์ที่อยู่ภายใต้การกำกับ ธปท.ด้วยได้ ไม่ใช่เฉพาะไฟแนนซ์ที่อยู่ภายใต้แบงก์อย่างปัจจุบัน ซึ่งจะครอบคลุมไฟแนนซ์ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ หรือ Captive Finance ที่เป็นกลุ่มที่กล้าปล่อยสินเชื่อ สะท้อนผ่านงานมอเตอร์โชว์ ที่เห็นยอดจองรถกระบะสูงกว่า 40%”
นอกจากนี้ บสย.ได้พูดคุยกับ “สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย” ถึงการขยายมาตรการไปยังกลุ่มน็อนแบงก์ ซึ่งทางสมาคมก็เห็นว่าเป็นโครงการที่ดีสามารถแก้จุดที่เป็นอุปสรรค (Pain Point) เช่น ยอดการปฏิเสธสินเชื่อ หรือช่วยดูดซับราคารถมือสอง เป็นต้น
“จะเห็นว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินค่อนข้างเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อยอดเพิ่มสูงขึ้นไปถึง 30% บสย.อยากเห็นยอดการปฏิเสธสินเชื่ออย่างน้อยจะต้องลดลงกลับมาจุดเดิมที่อยู่ราว 10-15% แต่เราต้องรอดูตัวเลขหลังวันที่ 1 มิ.ย. เพราะต้องรอให้ระบบของแต่ละไฟแนนซ์ พร้อมก่อนด้วย”
ดันน็อนแบงก์ร่วมโครงการ
นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ นายกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย กล่าวว่า ยอดขายรถกระบะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 อยู่ที่ 163,756 คัน เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) ยังลดลง 6.5% ซึ่งโครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” เป็นโปรเจ็กต์ที่ดี จึงอยากให้ขยายสู่กลุ่มน็อนแบงก์ด้วย สมาคมจึงส่งจดหมายไปถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้มีการขยายขอบเขตให้น็อนแบงก์เข้าร่วมโครงการ เฟส 2 ได้จากที่เฟสแรกเปิดให้เฉพาะธนาคาร และบริษัทลูกของธนาคารเท่านั้น
“การขยายเกณฑ์ครอบคลุมน็อนแบงก์ จะเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้สมาคม โดยเฉพาะกลุ่ม Captive Finance ซึ่งเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่ ทั้งนี้ ปัจจุบันจะเห็นสัญญาณการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะปรับดีขึ้นเล็กน้อย จากเดิมยอดการปฏิเสธสินเชื่อ เฉลี่ยอยู่ที่ 30% ปัจจุบันลดลงมาเหลือ 20%”
แบงก์ห่วงหนี้เสีย-ยันไม่ปล่อยมั่ว
นอกจากนี้ มีเสียงสะท้อนจากธนาคารพาณิชย์ ระบุว่า โครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” จะช่วยให้ธนาคารสามารถปล่อยกลุ่มลูกค้าที่มีความเปราะบางได้มากขึ้น เนื่องจากรถกระบะเป็นรถที่ใช้ประกอบอาชีพ ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ดี ธนาคารคงไม่สามารถปล่อยกลุ่มลูกค้าเปราะบาง หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk) ไปให้ บสย.ได้ทั้งหมด เนื่องจากหากเกิดเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ มากขึ้นในภายหลัง จะกระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคาร ซึ่งอัตราการเคลมของ บสย.อาจจะไม่เพียงพอ
“ธนาคารจะต้องปล่อยสินเชื่อผสมผสานระหว่างกลุ่มคนเปราะบางและมีศักยภาพรวมกัน เพื่อพยุงพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะโดยรวม เช่น กลุ่มเกษตรกร-ชาวนา ที่มีเอกสารสิทธิที่ดิน มีรายได้ และมีโฉนด กลุ่มนี้สามารถเข้าร่วมโครงการ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่มีเอกสารหรือไม่มีรายได้ชัดเจน กลุ่มนี้อาจจะไม่ได้ไป”
อย่างไรก็ดี ในส่วนธนาคารพาณิชย์ คาดหวังว่าโครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” จะช่วยกระตุ้นยอดรถกระบะเพิ่มขึ้นได้ หรือเพิ่มจากปกติที่ยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 คันต่อเดือน เพิ่มเป็น 25,000 คันต่อเดือนได้ ซึ่งยอดขายรถกระบะ มีสัดส่วนประมาณ 30% ของยอดขายรถทั้งหมด