‘พิษทรัมป์’ เลื่อนชำระหุ้นกู้พุ่ง บริษัทพลังงานแห่ขายแซงกลุ่มการเงิน

ThaiBMA เผยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าลากยาว-พิษภาษีทรัมป์ ฉุดยอดหุ้นกู้ออกใหม่ บริษัทแห่เลือนชำระหุ้นกู้ 14 ราย มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท เตือนบริษัทขนาดใหญ่หนี้สูงมีโอกาสผิดนัด สายป่านไม่ไหวขอยืดหนี้ เผยยอดออกหุ้นกู้ทั้งปีเหลือ 8 แสนล้านบาท ตัวเลขครึ่งปีแรกไม่สดใส ยอดลดฮวบ 19.3% กลุ่มพลังงานยังคึกออกหุ้นกู้สูงแซงกลุ่มการเงิน

พันธบัตรรัฐบาลหนุนครึ่งปีแรกโต 1.1%

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA เปิดเผยว่า สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุน ประเด็นใหญ่ที่สุดคือนโยบายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐที่ยังไม่มีความชัดเจน และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยเติบโตค่อนข้างช้า และมีความยากลำบาก ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดตราสารหนี้ไทยมีมูลค่าคงค้างอยู่ที่ 17.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 93% ของจีดีพี ซึ่งมูลค่าคงค้างขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.1% จากปี 2567 อยู่ที่ 17.11 ล้านล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล (พันธบัตรรัฐบาล) เป็นสำคัญ

ยอดออกหุ้นกู้ทั้งปีเหลือ 8 แสนล้าน

ยอดการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้เอกชน) ลดลง 19.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการออกหุ้นกู้อยู่ที่ราว 3.98 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงของทั้งกลุ่ม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ 4.94 แสนล้านบาท โดยลดลงของทั้งกลุ่มหุ้นกู้ที่อยู่ในเกณฑ์น่าลงทุน (Investment Grade) ที่ลดลง -19.7% และกลุ่มไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (High Yield) ลดลง -13.2%

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดว่ายังคงต้องติดตามสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอก นโยบายภาษีของสหรัฐเป็นสำคัญ และอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐ แต่จากทิศทางในครึ่งแรกของปี 2568 สมาคมได้มีการปรับประมาณการตัวเลขการออกหุ้นกู้ใหม่ในปี 2568 เหลือ 8 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ 8.5-9 แสนล้านบาท

“ภาพรวมเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงแบบยืดเยื้อ และลากยาวตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ซึ่งกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้ธุรกิจในแต่ละเซ็กเตอร์ไม่ง่ายนัก ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ และสามารถปรับตัวได้มากน้อยแค่ไหน และยังต้องติดตามนโยบายภาษีสหรัฐที่ยังไม่นิ่ง ทิศทางดอกเบี้ย เพราะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีทางเลือกที่จะไปใช้สินเชื่อกับสถาบันการเงินได้”

กลุ่มพลังงานแซงกลุ่มการเงิน

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า ภาพรวมเซ็กเตอร์ที่มีการออกหุ้นกู้ค่อนข้างมากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ อยู่ในเซ็กเตอร์พลังงาน โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ทยอยออกหุ้นกู้จำนวนมาก เช่น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ที่มีการออกหุ้นกู้วงเงินราว 3 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการขยายธุรกิจและมีการควบรวมธุรกิจ หรือบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ มองไปข้างหน้ากลุ่มพลังงานยังเป็นกลุ่มที่จะมีการออกหุ้นกู้ และอยู่ในกลุ่มเดิม ๆ ส่วนเซ็กเตอร์ที่ออกหุ้นกู้รองลงมา คือกลุ่มการเงิน และกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ (อสังหาริมทรัพย์) โดยคิดเป็นสัดส่วน 60% ของมูลค่าการออกหุ้นกู้ทั้งหมด ซึ่งหากดูปี 2567 จะเห็นว่ากลุ่มการเงินมีการออกหุ้นกู้เยอะที่สุด รองลงมาจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ และพลังงาน

แห่ขอยืดหนี้แซงปี’67

นางสาวอริยากล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมหุ้นกู้ที่ขอเลื่อนกำหนดชำระเงินคืน ผู้ถือหุ้นกู้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และคาดว่าทั้งปี 2568 จำนวนที่ขอเลื่อนชำระมีโอกาสแซงหน้าปี 2567 โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มีหุ้นกู้ที่ขอยืดชำระหนี้ราว 14 บริษัท มูลค่า 1.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวน 14 บริษัท มีบริษัทที่เพิ่งเคยเลื่อนกำหนดชำระเป็นครั้งแรก 9-11 บริษัท ทั้งนี้ หากดูในปี 2567 หุ้นกู้ที่ขอเลื่อนชำระหนี้มีทั้งสิ้น 17 ราย มูลค่ากว่า 3.79 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าจากสถานการณ์ความไม่แน่นอน และเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ดีและลากยาว ส่งผลให้หลายบริษัทสายป่านเริ่มไม่ไหว หลังจากพยุงมาหลายปี ซึ่งปีนี้จึงเห็นสัญญาณความจำเป็นต้องขอยืดหนี้ออกไป โดยหากมีการสื่อสารที่ดีกับผู้ถือหุ้นกู้ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า ซึ่งอัตราการขอยืดชำระหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 2 ปี

“ปีนี้มีโอกาสที่หุ้นกู้จะขอยืดหนี้แซงปีก่อน เพราะเรามีเหตุการณ์ความผันผวนจากนโยบายภาษีทรัมป์ และเศรษฐกิจไทยก็ชะลอตัว ทำให้สายป่านของบริษัทหลายบริษัทเริ่มไม่ไหว แม้ว่ามูลค่าตอนนี้อาจจะน้อยกว่าปีก่อน แต่ทั้งปีอาจจะต้องรอดูอีก”

ลุ้นบริษัทใหญ่พ้นวิกฤต

นางสาวอริยากล่าวว่า สำหรับหุ้นกู้กลุ่มไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (High Yield) แม้ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีปัญหา แต่มองว่าไม่ใช่หุ้นกู้ High Yield ทุกตัวที่มีปัญหาทั้งหมด ซึ่งบางบริษัทเป็นบริษัทใหม่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ ไม่ได้มีการจัดอันดับ และเพิ่งออกหุ้นกู้ครั้งแรกในวงเงินไม่สูงมากนัก แต่เป็นบริษัทที่มั่นคงแข็งแรง ในทางกลับกันสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน บริษัทขนาดใหญ่ที่บริหารจัดการไม่ดีก็สามารถมีปัญหาได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี ในจังหวะนี้มองว่าเป็นโอกาสของบริษัทใหญ่เช่นกัน เนื่องจากผู้ลงทุนที่มีความมั่งคั่ง ที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง จะหันกลับมาลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนต่ำลงมามากขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้าโอกาสที่หุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ ภายใต้สถานการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ หรือกรณีฟิทช์ เรทติ้งส์ เตือนบริษัทขนาดใหญ่ของไทย “หนี้สูง” เป็นหนึ่งปัจจัยความท้าทายในการทำธุรกิจ และส่งผลกับฐานะการเงินของบริษัทต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ยังคงต้องติดตามการบริหารจัดการของบริษัทต่าง ๆ ว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่เชื่อว่าบริษัทรายใหญ่มีการบริหารจัดการค่อนข้างยืดหยุ่น

“หุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ และเลื่อนชำระหนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าตลาดได้เรียนรู้ โดยนักลงทุนก็มีการลงทุนอย่างรอบคอบและเลือกมากขึ้น ในส่วนของผู้ออกเองก็มีการวางแผน และมีการสื่อสารทำความเข้าใจผู้ถือหุ้นกู้มากขึ้น รวมถึงผู้กำกับดูแลก็มีการยกระดับในเรื่องการคุ้มครองนักลงทุนมากขึ้น เข้มงวดในเรื่องของการจดทะเบียนบริษัทมากขึ้น และเราเองในปีนี้ก็จะทำเรื่องของ Bond Governance และเรื่องของ High Yield เช่นกัน”