15 แบงก์พาณิชย์เซ็น MOU ปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ

วิรไท สันติประภพ

ธปท. จับมือ 15 แบงก์พาณิชย์ ลงนามความร่วมมือทำธุรกิจแบบยั่งยืน-ปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ หนุนแบงก์ให้สินเชื่อที่คำนึงถึง ESG

นายวิรไท สันติประภพ  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการที่ธนาคารพาณิชย์ดำเนินธุรกิจโดยละเลยการพิจารณาความเสี่ยงจากปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG (Environment, Social, Governance) รวมถึงตัวอย่างแนวปฏิบัติในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเพื่อก้าวข้ามปัญหาจากการละเลยปัจจัยดังกล่าว โดยปัจจัยด้านความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมาจากปัญหาทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงที่มีผลต่อฐานะทางการเงิน และจำเป็นอย่างยิ่งที่สถาบันการเงินโดยการนำของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงจะผลักดันให้มีการผนวกปัจจัยด้าน ESG  เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงิน

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลายพื้นที่ในประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและการท่องเที่ยวของไทย อีกทั้งยังมีปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นทุกปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลิตผลในภาคเกษตรกรรมและคุณภาพชีวิตของประชาชน เห็นได้ชัดว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม เข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้านหนึ่ง ในมิติด้านสังคม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ จะกลายเป็นความเปราะบางในภาคครัวเรือน จนอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพลูกหนี้และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว นอกจากนี้ ปัญหาคอร์รัปชันที่ยังพบอยู่ในหลายภาคส่วนของสังคมไทย ได้กัดกร่อนศักยภาพในการพัฒนาประเทศให้เป็นไปอย่างล่าช้าและซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย จากปัญหาเหล่านี้ ภาคธนาคารไทยในฐานะตัวกลางทางการเงินสามารถมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหา โดยการจัดสรรทรัพยากรทุนให้ถูกใช้ไปในทิศทางที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบเชิงลบ  อันเนื่องมาจากการสนับสนุนทางการเงินได้

อย่างไรก็ตาม การที่สมาคมธนาคารไทยและธนาคารพาณิชย์ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของภาคการธนาคารในฐานะตัวกลางทางการเงินได้ร่วมแสดงเจตจำนงที่จะยกระดับการทำงานของภาคสถาบันการเงินไทยด้วยการมีแนวนโยบายและแนวปฏิบัติร่วมกันในการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ หรือที่เรียกว่า Responsible Lending Guideline เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยมีกระบวนการสนับสนุนการให้สินเชื่อที่คำนึงถึงปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสถาบันการเงินเองและบรรเทาปัญหาต่าง ๆ ที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องได้ ตลอดจนพร้อมนำนโยบายดังกล่าวไปใช้ประกอบการให้สินเชื่อภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งในการเดินทางมุ่งสู่การพัฒนาการธนาคารเพื่อความยั่งยืนจำเป็นอย่างยิ่งที่สถาบันการเงินจะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน มีการติดตามประเมินผล และตรวจสอบการปฏิบัติ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือในเวลาที่เหมาะสม โดยความร่วมมือนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญมากของภาคสถาบันการเงินไทยบนเส้นทางการประกอบธุรกิจที่ไม่เพียงแต่มีธรรมาภิบาลในองค์กร แต่ยังมีธรรมาภิบาลในความหมายกว้างซึ่งคำนึงถึงผลกระทบเชิงลบที่อาจมีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม อันจะนำไปสู่ความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ โดยมีความเชื่อร่วมกันว่า ระบบสถาบันการเงินเป็นกลไกทางการเงินที่สำคัญ ที่ไม่เพียงมีบทบาทในการสนับสนุนทางการเงินผ่านกลไกสินเชื่อเท่านั้นแต่ยังมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างความสมดุลที่สามารถป้องกันและยับยั้งความเสี่ยงที่สามารถจะขยายผลเป็นความเสี่ยงทางการเงินและทางเศรษฐกิจของประเทศได้เสมอ ดังนั้น เมื่อใดที่สถาบันการเงินของประเทศมีความเข้าใจและความมุ่งมั่นที่จะแสดงความรับผิดชอบในการให้สินเชื่ออย่างเหมาะสม มีเหตุมีผล เมื่อปฏิบัติร่วมกันและต่อเนื่องแล้ว ก็จะเป็นสร้างความมั่นคงและภูมิคุ้มกันให้กับผู้ใช้บริการทางการเงินและประเทศชาติในระยะยาวเช่นกัน

ดังนั้น แนวทางการดำเนินกิจการธนาคารอย่างยั่งยืนในด้านการให้สินเชื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ริเริ่มนี้จึงมีความสำคัญยิ่ง โดยมีแนวทาง 4 ข้อ คือ การแสดงเจตนารมณ์ในการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Leadership and Responsible Lending Commitment) การคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Engagement) การกำหนดนโยบายและกระบวนการทำงานภายใน (Internal Implementation Mechanisms)และมีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล (Transparency) ในขณะเดียวกันยังมุ่งหวังให้ทุกธนาคารตระหนักถึงพันธสัญญาที่จะร่วมสร้างวัฒนธรรมการมีวินัยทางการเงิน และดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล บนพื้นฐานของธรรมาภิบาลในความหมายกว้าง และการจัดการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมอีกประการหนึ่งด้วย โดยพฤติกรรมและอุดมการณ์เหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบและรากฐานที่สำคัญของระบบสถาบันการเงินไทยต่อหน้าที่ในการร่วมพัฒนาประเทศให้ยั่งยืนต่อไป

“เหตุการณ์นี้ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ที่เราดำเนินงานเกี่ยวกับ Sustainable Banking หลังจากนั้นมีการเปิดบัญชีประเภท Basic Banking Account ซึ่งเป็นการเปิดบัญชีพื้นฐานให้กับผู้สูงอายุ 1 ล้านบัญชี นอกจากนี้ยังมีการคุยกันของสมาคมธนาคารไทยร่วมกับธปท.ถึงหลักการที่เราได้เซ็น MOU ไป ซึ่งเป็นแนวทางที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1. เรื่องการปล่อยสินเชื่ออยู่ในความรับผิดชอบ 2.เรื่องของการผู้มีส่วนได้เสีย 3.เรื่องของกระบวนการทำงานภายในสังกัด และ 4. เรื่องของความโปร่งใส ว่าเราทำอะไรกันไปบ้างจะมีการรายงานกันอย่างไร” นายปรีดี กล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางที่กำหนดออกมาชัดเจน แต่จะเริ่มดำเนินการกำหนดแนวทางในปี 2562 ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของอากาศ หรือเรื่องฝุ่น เป็นต้น สมมติผู้กู้นำสินเชื่อที่ได้ไปก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรของคนรุ่นหลังมากจนเกินไป หากเป็นเช่นนั้นก็จะถูกห้ามไม่ให้ทำ เป็นต้น

“อะไรก็ตามที่ทำไปแล้วก่อให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่ดูแลสังคม ต่อจากนี้ก็จะมีความชัดเจนขึ้นว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยจะไม่ทำสิ่งเหล่านั้น รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดความไม่ถูกต้องในเรื่องของการคอรัปชั่นก็เช่นกัน ทั้งนี้ ผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะมีการดูแลให้ทั่วถึงมากขึ้น เช่น หากปล่อยสินเชื่อให้แล้วนำเงินที่ได้ไปใช้ทำลายทรัพยากรในลักษณะที่ไม่ถูกต้องก็จะไม่ให้ทำ ซึ่งปกติธนาคารพาณิชย์มีการตรวจสอบอยู่แล้วว่าการปล่อยสินเชื่อนั้น ผู้กู้เป็นใครหรือสภาพกิจการเป็นอย่างไร เป็นต้น” นายปรีดี กล่าว