“เมืองไทยประกันชีวิต” ปรับพอร์ตโปรดักต์ รับกฎเหล็กมาตรฐานบัญชีใหม่

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต หรือ MTL เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกภาพรวมตลาดประกันชีวิตถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้น ติดลบอยู่ประมาณ -5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หลายบริษัทมีการปรับตัว โดยเฉพาะในส่วนของโปรดักต์ที่ปรับให้สอดคล้องกับภาวะตลาดและไลฟ์สไตล์ลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น สำหรับผลดำเนินงานของบริษัทเองในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.62) เบี้ยประกันรับรายใหม่ (New Business Premium) ถือว่าทำได้ดีเติบโตกว่า 19% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หลักๆ โตมาจากการขายสินค้าความคุ้มครอง (Protection) และประกันสุขภาพที่เป็นตัวนำ เติบโตได้ดีถึง 25% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดประกันสุขภาพในธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยที่เติบโตเพียง 10% ซึ่งถือเป็นส่วนช่วยทำให้เบี้ยประกันรับรายใหม่และเบี้ยประกันรับปีแรกเติบโตดีขึ้น

“ตอนนี้บริษัทเทน้ำหนักขายไปที่สินค้าความคุ้มครองเป็นหลัก โดยพอร์ตความคุ้มครอง (Protection) มีสัดส่วนประมาณ 65% คาดว่าภายในปี 2563 จะขยับสัดส่วนขึ้นไปอยู่ที่ 70% ได้ ส่วนที่เหลือจะเป็นพอร์ตสินค้าแบบประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิตลิงก์) ที่คาดว่าปีนี้จะมีเบี้ยรับเข้ามาได้อยู่ประมาณ 2-3 พันล้านบาท จากปัจจุบันเข้ามาแล้วเกือบ 2 พันล้านบาท นอกจากนี้ก็ยังมีเบี้ยในส่วนของประกันสะสมทรัพย์อยู่บ้างแต่ก็น้อยมากแล้ว” นายสาระกล่าว

อย่างไรก็ดี สำหรับเป้าหมายเบี้ยประกันรับรายใหม่ปีนี้บริษัทยังวางไว้ที่ 28,000 ล้านบาท เติบโต 26% ในขณะที่เบี้ยประกันชีวิตรับรวมปีนี้อาจจะติบลบ จากผลกระทบของเบี้ยประกันปีต่ออายุที่เป็นพอร์ตใหญ่ มีกรมธรรม์ครบกำหนดแต่ยังมีความคุ้มครองอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบประกันสะสมทรัพย์ (Endowment) โดยช่วง 7 เดือนแรกติดลบอยู่ประมาณ 12-13% แต่ก็ดีขึ้นจากช่วง 6 เดือนแรกที่ติดลบถึง 16% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท

“มองว่าปีนี้คงติดลบน้อยลงกว่าปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปตามที่บริษัทคาดไว้ แต่การที่บริษัทมาเน้นขายสินค้าความคุ้มครองถือเป็นสิ่งที่เราชอบ แม้ขนาดเบี้ยจะต่างกับสะสมทรัพย์ แต่จะสอดรับกับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS17 ในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ สอดรับ RBC และความท้าทายของ invest yield curve และเรื่องของการบันทึกตั้งสำรองพิเศษ (LAT Reserve) ถ้ามัวไปขายสะสมทรัพย์จะค่อนข้าง Sensitive กับดอกเบี้ยมาก”

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนปีนี้ว่าจะรักษาให้อยู่ระดับเดียวกับปีก่อนที่ 4% แม้ภาวะตลาดและเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศจะมีความผันผวนสูง