เงินบาทแข็งค่า จับตาดีลการค้าเฟสแรกสหรัฐฯและจีน

แฟ้มภาพ

เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยกลับมาปิดใกล้เคียงสัปดาห์ก่อน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดสัปดาห์ เงินบาทอ่อนค่าช่วงสั้นๆ ในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนการประชุมกนง. ซึ่งมีจุดสนใจอยู่ที่การทบทวนประมาณการเศรษฐกิจและสัญญาณดอกเบี้ยในปีหน้า อย่างไรก็ดี เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ แม้ว่ากนง. จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ที่ระดับเดิมตามที่ตลาดคาด เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ กลับมาเผชิญแรงขาย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสกุลเงินปลอดภัย (ทั้งเงินเยนและเงินบาท) หลังปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ถูกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติถอดถอนจากตำแหน่ง ประกอบกับมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด อาทิ ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย. และผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนธ.ค.

ในวันศุกร์ (20 ธ.ค.) เงินบาทอยู่ที่ 30.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 30.21 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (13 ธ.ค.)

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (23-27 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 30.10-30.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยในประเทศที่ตลาดรอติดตาม คือ ตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ย.ของไทย ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การเตรียมการเพื่อลงนามดีลการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ อนึ่ง ธุรกรรมในตลาดเงิน-ตลาดทุนทั่วโลก อาจเริ่มเบาบางเนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปี

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับมาปิดใกล้เคียงสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 1,572.92 จุด ลดลง 0.06% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 56,837.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.32% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ลดลง 1.40% จากสัปดาห์ก่อน มาปิดที่ 310.49 จุด

ตลาดหุ้นไทยร่วงลงช่วงต้นสัปดาห์ ตามแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยในประเทศ แม้จะมีปัจจัยบวกจากสัญญาณคลี่คลายของข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนก็ตาม อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ ดีดตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ ตามแรงซื้อคืนหุ้นขนาดใหญ่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะธนาคารและสื่อสาร ซึ่งอาจเป็นผลของการทำ Window Dressing และแรงหนุนจาก LTF/RMF


สำหรับสัปดาห์ถัดไป (23-27 ธ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,565 และ 1,555 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,590 และ 1,600 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนพ.ย. ของไทย การทำ Window Dressing ช่วงปลายปี สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมถึงประเด็น Brexit ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ รายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. ของญี่ปุ่น รวมถึงกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.ของจีน