เหลียวหลังแลหน้า เงินลงทุนจากต่างชาติ ในตลาดตราสารหนี้ไทย ฉบับปี 2562

คอลัมน์ สถานีลงทุน
โดย นิธิพงศ์ ทวีสิทธิ์ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย

ปี 2562 มีเหตุการณ์สำคัญที่น่าตื่นเต้นและสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดตลอดทั้งปี ซึ่งมีผลกระทบกับเงินลงทุนของต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทยผันผวนไปมาแค่ไหน? มาติดตามพร้อมคาดการณ์ถึงประเด็นที่ต้องจับตาในปี 2563 กัน

หลังจาก กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทิ้งทวนไปเมื่อปลายปี 2561 ทำให้เกิดแรงขายของนักลงทุนต่างชาติทั้งในตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาว ตลอด 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี รวมขายสุทธิกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และแม้จะเปลี่ยนปีปฏิทินเข้าสู่ปี 2562 แล้ว แต่ควันหลงแรงขายในตราสารหนี้ไทยระยะสั้นยังคงดำเนินอยู่เพื่อรับรู้ผลกำไร

ต่อมาในเดือน ก.พ. และ มี.ค. การตอบโต้กันระหว่างสหรัฐและจีน สงครามการค้ามีความตึงเครียดมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติจึงระมัดระวังการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้ในไตรมาส 1 มีกระแสเงินทุนไหลออกจากตราสารหนี้ไทยสุทธิ 41,854 ล้านบาท หลังจากมีข่าวดีที่จะบรรลุข้อตกลงกันได้สลับเข้ามาในเดือน เม.ย. พอเริ่มเข้าสู่เดือน พ.ค. ประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกลับมาเข้มข้นอีกครั้ง ทั้ง 2 ประเทศต่างแสดงท่าทีจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างกัน เป็นเหตุให้ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกต้องสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง เช่น ธนาคารกลางของนิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ รวมถึงมาเลเซีย หรือแม้กระทั่งธนาคารกลางของจีนก็ปรับลดสัดส่วนเงินกันสำรองลง (reserve requirement ratio) ขณะที่เฟดยังคงตรึงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมถึง 2 รอบติดต่อกัน ถึงแม้จะได้รับแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ผ่านการทวีตข้อความให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงก็ตาม

ผลจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับมูลค่าการส่งออกที่ลดลงอย่างชัดเจน กดให้จีดีพีไตรมาส 1 ปี 2562 เติบโตต่ำสุดในรอบ 17 ไตรมาส ส่งผลให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ถึงโอกาสที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้ พร้อม ๆ กันกับกระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าซื้อตราสารหนี้ไทยช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. รวมสุทธิถึง 66,940 ล้านบาท ผลจากการไหลเข้าของเงินลงทุนถูกมองเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ทำสถิติแข็งค่าสูงสุดในรอบ 6 ปี ธปท.จึงประกาศใช้มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 12 ก.ค. ทำให้นักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตการลงทุนโดยทยอยขายตราสารหนี้ระยะสั้น เกิดเป็นกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิ 25,726 ล้านบาท ในเดือน ก.ค.

เข้าสู่เดือน ส.ค. ดอกเบี้ยทั่วโลกพร้อมใจกันปรับตัวลดลง เริ่มจากเฟดที่ลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกในรอบ 10 กว่าปี เมื่อวันที่ 1 ส.ค. รวมถึง กนง. ที่สัปดาห์ถัดมามีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหลายประเทศเริ่มปรับลงจนกลายเป็นติดลบ เช่น เบลเยียม และไอร์แลนด์ บางประเทศทำสถิติต่ำสุดรอบใหม่ เช่น สหราชอาณาจักร บางประเทศพันธบัตรรุ่นอายุยาวต่ำกว่าอายุสั้น จนเกิดสภาวะ inverted yield curve เช่น สหรัฐ ส่วนประเทศไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี ได้ทำสถิติแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.34% และ 1.43% ตามลำดับ เมื่อวันที่ 29 ส.ค. จากอัตราผลตอบแทนที่ต่ำลง นักลงทุนต่างชาติจึงขายตราสารหนี้ไทย เพื่อรับรู้ผลกำไรรวมสุทธิ 78,902 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 3

เข้าปลายปี แม้ลมหนาวจะมาเยือนไทย แต่ดูเหมือนสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังร้อนระอุไร้วี่แววจะยุติ รวมถึงความยืดเยื้อของ Brexit และการประท้วงในฮ่องกง ที่ลุกลามขึ้น ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเป็นลูกโซ่ต่อมายังเศรษฐกิจไทย จน กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้ง เมื่อวันที่ 6 พ.ย. มาอยู่ที่ 1.25% ซึ่งต่ำสุดในประวัติศาสตร์เมื่อครั้งวิกฤตซับไพรม์

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติไม่ได้เร่งปรับพอร์ตมากเหมือนช่วงก่อนหน้า แต่นักลงทุนต่างชาติชะลอการขายตราสารหนี้ไทยลงในไตรมาส 4 มีมูลค่าการขายสุทธิที่ 1,733 ล้านบาท (ณ 20 ธ.ค. 62) คาดว่าเป็นเพราะดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในระดับต่ำมากแล้วจึงช่วยจำกัดมุมมองขาลง สุดท้ายแล้วเงินลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทยปีนี้จะจบลงที่เท่าไร ควรรู้กันแล้วพร้อม ๆ กับข่าวดีเรื่องสงครามการค้าที่มาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนส่งท้ายปี หลังสหรัฐระงับการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน รวมถึงจะลดอัตราภาษีลงถึง 50% ของภาษีที่เรียกเก็บก่อนหน้านี้

สำหรับปี 2563 มีหลายปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ชัดเจนขึ้น บทสรุปของ Brexit การประท้วงในฮ่องกง และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศของไทยเอง ทั้งในเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจ ทิศทางนโยบายการเงินภายใต้เงื่อนไขที่ถูกกำจัดมากขึ้น และการลุ้นว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกจะปรับเพิ่มอันดับเครดิตของไทยหรือไม่ ที่จะทำให้ปี 2563 มีเรื่องราวเกี่ยวกับกระแสเงินลงทุนที่เข้มข้น และน่าติดตามไม่แพ้ปี 2562 แน่นอน


ท้ายนี้ ขอสวัสดีปีใหม่ และขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จกับการออมการลงทุนกันถ้วนหน้าครับ