คลัง พร้อมจัดเงินกู้ 1 ล้านล้าน พ.ค.นี้ เน้นแหล่งเงินในประเทศ ปี 64 หนี้สาธารณะพุ่ง 57 %

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คาดว่าพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ทั้ง 3 ฉบับ ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จะมีผลบังคับใช้ช่วงเดือนเม.ย. นี้ และในเดือนพ.ค. จะสามารถดำเนินการจัดหาเงินกู้ได้ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้กู้เงินในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท จากแหล่งที่มาของเงินสกุลบาทเป็นหลัก โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในวันที่ 30 ก.ย.64 หรือระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน ซึ่งรูปแบบการกู้จะเป็นการทยอยกู้เงินให้สอดคล้องกับการใช้งบประมาณ ไม่ได้กู้ทีเดียวจบ ซึ่งจากการประเมินจะส่งผลให้ปี 2564 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 57% ต่อจีดีพี โดยเป็นการคาดการณ์จากการประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจปี 63 จะหดตัว 5.3% และในปี64 จะขยายตัว 3%

นายอุตตม กล่าวว่า ส่วนที่สำนักงบประมาณได้เสนอออกพ.ร.บ.โอนงบประมาณ ครม.ก็ได้มีมติเห็นชอบแล้ว โดยขณะนี้ได้ขอให้หน่วยงานแต่ละกระทรวงพิจารณาโอนงบประมาณ เพื่อนำมาเป็นส่วนแบ่งต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 โดยงบที่จะขอนำมาใช้นั้นเป็นงบที่ไม่ผูกพัน งบจากการอบรม สัมมนา เป็นต้น โดยในระยะต่อไปสำนักงบประมาณจะนำร่างพ.ร.บ.เสนอเข้าสู่ครม. ต่อไป ซึ่งจากการพิจารณาตัวเลขแล้ว คาดว่าจะได้วงเงินประมาณ 8 หมื่น-1 แสนล้านบาท

ส่วนที่ธปท. ได้ออกพ.ร.ก. ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน โดยตั้งกองทุน Corporate Bond Liquidity Stabilization หรือ BSF นั้น กลไกของกองทุนเหมือนกับกองทุนรวม แต่จะมีคณะกรรมการนโยบายกองทุน โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยมีธปท. และสบน.เป็นหน่วยงานร่วมกันดูแล นอกจากนั้นก็จะมีคณะกรรมการการลงทุน เพื่อจะพิจารณาความเหมาะสมของการซื้อขายด้วย

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า เครื่องมือที่ใช้ในการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทนั้น จะพิจารณาประกอบกับกลไกของตลาด อาทิ การออกพันธบัตรออมทรัพย์ โดยแหล่งที่มาของเงินพ.ร.ก. เปิดให้สามารถกู้ได้ทั้งสกุลเงินบาท และสกุลเงินต่างประเทศ และขณะนี้ในต่างประเทศมีองค์การต่างๆ ที่เปิดแพ็คเกจโควิด-19 ที่น่าสนใจ เช่น ธนาคารพัฒนาเอเซีย (ADB) เป็นต้น โดยสบน.อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม อย่างไรก็ดี จะเน้นกู้เงินในประเทศเป็นหลัก


ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลยังอยู่ในสัดส่วน 21.2% ยังไม่เต็มเพดานที่กำหนดไว้ 35% ส่วนภาระชำระดอกเบี้ยต่องบประมาณรายได้ หากกระทรวงการคลังกู้เงินจำนวน 1 ล้านล้านบาท จะส่งผลให้รัฐมีภาระหนี้อยู่ที่ 7.4% จากเพดาน 10%