ประกันสุขภาพดันเบี้ยQ1อลิอันซ์ฯโต 22.8% ฝ่าดอกเบี้ยต่ำ-หุ้นร่วง

ไบรอัน สมิธ
ไบรอัน สมิธ ผู้จัดการอลิอันซ์ ประจำประเทศไทย

นายไบรอัน สมิธ ผู้จัดการอลิอันซ์ ประจำประเทศไทย ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต (AZAY) เปิดเผยทิศทางผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 1/2563 ผ่านทาง “Facebook live” ว่า ไตรมาสแรกธุรกิจอลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิตได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบกับกลุ่มอลิอันซ์ทั่วโลก โดยเฉพาะผลจากอัตราดอกเบี้ยต่ำและสภาพตลาดหุ้นที่ลดต่ำลง รวมไปถึงความคาดหวังจากผลตอบแทนในการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว(บอนด์) แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่ต่ำ แต่กลับพบว่าบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนที่ต่ำมาก ซึ่งกดดันต่อการลงทุนของธุรกิจประกันชีวิตเช่นกัน ทำให้บริษัทต้องกลับมาพิจารณาว่าธุรกิจอะไรบ้างที่จะไม่แปรผันกับความผันผวนขึ้นลงของตลาด เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจต่อไปได้

โดยกลยุทธ์ที่ใช้ในไตรมาสแรกของปีนี้คือ 1.การมีช่องทางขายที่หลากหลาย และสามารถสร้างสมดุลให้กับธุรกิจได้ และอีกกลยุทธ์ที่สำคัญโดยเฉพาะช่วงที่ตลาดลดลงจากการลงทุนคือ

2.การมุ่งเน้นการขายประกันสุขภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเบี้ยสุขภาพต่อเบี้ยรับรวมคิดเป็น 42.8% คาดว่าสิ้นปีนี้จะแตะระดับ 50% ได้ ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทไม่มีผลกระทบจากการลงทุน

และ 3.การเร่งเครื่องนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งโควิดทำให้ทุกคนเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต และไม่มีอะไรที่ทำให้ธุรกิจต่างๆ เข้าไปสู่ดิจิทัลได้เร็วเท่ากับช่วงการระบาดโควิดอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นทั้ง 3 กลยุทธ์ดังกล่าวเป็นเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทใช้เข็นธุรกิจให้มีผลการดำเนินงานในไตรมาสแรก สามารถมีเบี้ยรับปีแรกอยู่ที่ 1,460 ล้านบาท เติบโต 22.8% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากช่องทางขายผ่านตัวแทน 566 ล้านบาท เติบโต 15% ในขณะที่ตลาดเติบโต 9.2% มาจากช่องทางขายผ่านแบงก์แอสชัวรันซ์ 296 ล้านบาท เติบโต 17.4% ในขณะที่ตลาดเติบโต 29.2% มาจากช่องทางขายผ่านตลาดแบบตรง 464 ล้านบาท เติบโต 4.5% ในขณะที่ตลาดเติบโตลดลง 7.1% และมาจากช่องทางขายอื่นๆ (ดิจิทัล) รวม 133 ล้านบาท เติบโต 144.3% ในขณะที่ตลาดเติบโต 6.6%

อย่างไรก็ดีคาดว่าช่วงไตรมาส 2/2563 สินค้าประกันสุขภาพจะยังคงเติบโตได้ดี ช่องทางตัวแทนยังคงขับเคลื่อนธุรกิจไปได้ ในขณะที่ช่องทางธนาคารอาจจะเติบโตช้าลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าไตรมาส 2 จะเติบโตแข็งแรงไม่ต่างจากไตรมาสแรก สามารถโตชนะเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 10-15% แม้ว่าในแง่ของกำลังซื้อของลูกค้าจะคงไม่กลับมาเร็ว ตามสภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันสินค้าประกันยังไม่ใช่สิ่งเร่งด่วน ทำให้นับจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีจะถือเป็นสิ่งท้าทายของธุรกิจเช่นเดียวกัน แต่เชื่อว่าบริษัทเดินมาถูกทางแล้ว และประเมินว่าไตรมาส 3-4 การเติบโตน่าจะทำได้ประมาณ 5%

“แม้ว่าเศรษฐกิจของโลกจะถดถอย แต่สินค้าประกันสุขภาพจะเป็นสินค้าจำเป็นในอนาคต คนยังคงต้องหาเงินมาซื้อ ทำให้ธุรกิจจะยังเติบโตต่อไปได้” นายไบรอันกล่าว