ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ “พระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2563
ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2563”
- วิธีลงทะเบียนแอป ทางรัฐ ยืนยันตัวตน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- เปิด 20 อันดับโรงพยาบาลดีที่สุดในไทย ปี 2567
- ลุยตรวจย่านดัง กรุงเทพ-ปริมณฑล เอาผิดต่างชาติแย่งงานคนไทย
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้“งบประมาณรายจ่าย” หมายความว่า งบประมาณรายจ่ายตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
มาตรา 4 ให้โอนงบประมาณรายจ่าย จำนวน 88,452,597,900 บาท ของหน่วยรับงบประมาณตามรายการดังต่อไปนี้ ไปตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่าย สำหรับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
สำหรับ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขยายวงกว้างครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อไว้ได้แล้วในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคตภายหลังการผ่อนคลายมาตรการการควบคุมโรคของรัฐบาล ซึ่งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถือเป็นภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง ส่งผลกระทบต่อทั้งประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม รัฐบาลจึงมีภารกิจเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา บรรเทา และเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ประชาชน สังคม และระบบเศรษฐกิจ
โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จนส่งผลให้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ตั้งไว้ จำนวน 96,000,000,000 บาท มีไม่เพียงพอ รวมทั้งอาจมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นจากสถานการณ์ภัยแล้ง หรือสาธารณภัยอื่นที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จึงมีความจำเป็นต้องโอนงบประมาณรายจ่ายที่หน่วยรับงบประมาณต่าง ๆ ได้รับจัดสรรตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ไปตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อนำไปใช้จ่ายสนับสนุนในการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็นอื่น จึงจำเป็นต้องตราพระราบัญญัตินี้