เดือนเดียวทองพุ่ง 2 พัน อานิสงส์บาทอ่อน ดันราคาในประเทศ

ราคาทอง ทองคำแท่งและทองรูปพรรณ

อานิสงส์ “บาทอ่อน” ดันทองในประเทศฮอต ! ก.ค.เดือนเดียวพุ่ง 2.4 พันบาทขณะที่จากต้นปีถึงปัจจุบันราคาเพิ่มขึ้นแล้ว 6.75 พันบาท นักวิเคราะห์ “บล.ทรีนีตี้” ชี้เงินบาทอ่อนค่าหนุนราคาทองคำในประเทศขยับขึ้นมากกว่าราคาทองต่างประเทศ คาดราคายังไปต่อได้อีก มีลุ้นทะลุ 3 หมื่นบาท ด้าน “แม่ทองสุก” ระบุปัจจัยดันราคาทองมาจากธนาคารกลางแห่อัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ราคาทองคำปี 2563 นี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก กระทั่งปัจจุบันราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) เป็นประวัติการณ์

โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ 24 ก.ค. 63) ราคาทองคำแท่งเพิ่มขึ้นแล้ว 6,750 บาท/บาททองคำ โดยเฉพาะล่าสุดในเดือน ก.ค. ราคาเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ตั้งแต่ต้นเดือนถึง ณ 24 ก.ค. 63 ช่วงเช้าปรับเพิ่มขึ้นถึง 2,400 บาท ทำให้ราคาทองแท่งขายออกอยู่ที่ 28,300 บาทส่วนราคาทองรูปพรรณขายออกอยู่ที่ 28,800 บาท

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ราคาทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดต่อเนื่องในเดือน ก.ค.

โดยเฉพาะราคาทองคำในประเทศที่ปรับขึ้นโดดเด่น จากอานิสงส์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงประมาณ 1 บาท จากต้นเดือน ก.ค.อยู่ที่ 30.80 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์ หรืออ่อนค่าลงประมาณ 2.9% ส่งผลให้ราคาทองในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 9.3% โดดเด่นกว่าราคาทองคำต่างประเทศ (gold spot) ที่เพิ่มขึ้นเพียง 6% ในช่วงเดียวกัน

นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ราคาทองคำในประเทศให้ผลตอบแทน/เพิ่มขึ้นสูงกว่าเช่นกันที่ 31.3% จากต้นปี2563 ที่ค่าเงินบาทเปิดปีมาแข็งค่าสูงสุดที่ 29.70 บาทต่อดอลลาร์ ส่วน gold spot ให้ผลตอบแทน 24.4%

“ไม่ว่าจะเทียบกันช่วงเวลาไหน ทองคำในประเทศก็ยังให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น (outperform) มากกว่าทองคำต่างประเทศ จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าหนุนให้ราคาทองในประเทศแพงขึ้น ยกเว้นแค่ช่วง เม.ย.-มิ.ย. 63 ที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าปกติ” นายณัฐชาตกล่าว

นายณัฐชาตกล่าวอีกว่า แนวโน้ม gold spot มีโอกาสปรับขึ้นทดสอบแนวต้าน 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ได้ไม่ยาก เมื่อพิจารณาด้วยมาตรวัดราคาทองคำแท้จริง(real gold price) ล่าสุด โดยคำนวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ และราคาทองคำในแต่ละช่วงโดยไม่รวมเงินเฟ้อ จะได้เพดานราคาทองคำต่างประเทศที่ 2,150 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งหากเกินกว่าระดับดังกล่าว ทองคำอาจเข้าสู่สภาวะฟองสบู่ได้ ซึ่งหากค่าเงินบาทยังทรงตัวที่ระดับประมาณ 31.70 บาท หรืออ่อนค่าลงมากกว่าระดับปัจจุบัน ก็จะหนุนให้ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 30,000 บาทได้

“การลงทุนในทองคำตอนนี้ เรายังแนะนำถือครองเพียง 5-10% เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน หากใครมีสัดส่วน 5-10% แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนัก แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีทองคำ แนะนำซื้อถัวเฉลี่ยทุกเดือน (DCA) จนถึงระดับเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ หรือซื้อครั้งเดียว เมื่อราคาทองคำปรับลงมาทดสอบแนวรับ 1,800 ดอลลาร์” นายณัฐชาตกล่าว

นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานบริหาร บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด หรือห้างทองแม่ทองสุก กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องกันในครั้งนี้ มาจากการที่ธนาคารกลางสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลกอาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่พิมพ์พันธบัตรอัดฉีดเงินเข้าระบบเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการดำเนินนโยบายการเงินในรูปแบบดังกล่าว ส่งผลให้มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้าระบบ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนกังวลการเกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (hyperinflation) ขณะที่ทองคำในประเทศได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ราคาจึงปรับขึ้นโดดเด่นกว่าราคาทองคำต่างประเทศ

“ในระยะสั้นเรามองว่าราคาทองคำจะขึ้นต่อไปอีกได้ แต่อาจปรับลงมาพักฐานก่อนสักรอบหนึ่ง โดยราคา gold spot ตอนนี้ให้แนวรับไว้ที่ 1,850-1,860 ดอลลาร์ และแนวต้านที่ 1,920 ดอลลาร์ หากทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 1,920 ดอลลาร์ได้ ต่างชาติชี้ว่าราคาทองคำจะประเมินแนวต้านไม่ได้แล้ว ส่วนราคาในประเทศให้ไว้ที่ 27,500-28,600 บาท” นายณัฐพงศ์กล่าว

อย่างไรก็ดี นายณัฐพงศ์กล่าวว่า ตนมองว่าความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำในประเทศจะปรับขึ้นทดสอบ 30,000 บาทนั้น ยังเป็นไปได้ยาก เพราะค่าเงินบาทจะต้องอ่อนค่าลงถึงระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ รวมถึงทองคำต่างประเทศต้องปรับขึ้นทะลุ 1,920 ดอลลาร์ให้ได้ก่อนจึงจะมีความเป็นไปได้