ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ แบไต๋เบื้องหลังความสำเร็จผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ ยกกรณีพร้อมเพย์เป็นบทเรียน ชี้เทคโนโลยีพร้อม แต่ดีลผลประโยชน์กับธนาคารพาณิชย์ยากที่สุด
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน “BOT SYMPOSIUM 2020 ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง” ในการเสวนาช่วง “Restructuring the Thai Economy” ว่า หนึ่งงานที่สำคัญในช่วงที่ตนอยู่ในวาระคือการผลักดัน “พร้อมเพย์” (Prompt Pay) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบชำระเงินของประเทศ โดยการผลักดันโครงการดังกล่าวมีหลายมิติที่ ธปท.จะต้องพิจารณา โดยเฉพาะผลกระทบต่อสถาบันการเงิน
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
ผู้ว่าฯ เท้าความว่า เดิมทีการชำระเงินในประเทศไทยมีปัญหาใหญ่อยู่ คือ การบินเบือนต้นทุนที่แท้จริง (Distortion) โดยเริ่มจากหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ธนาคารหลายแห่งหันมาให้บริการลูกค้ารายย่อยมากขึ้น เนื่องจากการให้บริการแบบเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่แบบเดิมก่อนวิกฤตมีความเสี่ยงสูง ส่งผลให้ธนาคารมีการแข่งกันเปิดสาขาและตู้เอทีเอ็ม อย่างไรก็ดี ต้นทุนการใช้บริการสาขาธนาคารของไทยค่อนข้างสูงมากประมาณ 130 บาท/ธุกรรม ขณะที่ต้นทุนการใช้ตู้เอทีเอ็มอยู่ที่ประมาณ 27 บาท/ธุรกรรม
แม้ว่าในภายหลังจะมีการพัฒนาการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบรอิเล็กทรอนิกส์ แต่พบว่าต้นทุนที่ลูกค้าจะต้องจ่ายกลับค่อนข้างสูง เช่น 25 บาท/ธุรกรรม ในกรณีที่โอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่างธนาคาร เนื่องจากแต่ละธนาคารยังต้องแข่งกันกันเพื่อนำเงินไปถัวเฉลี่ยกับต้นทุนการให้บริการแบบเดิมที่ค่อนข้างสูง รวมถึงระบบหลังบ้านมีการคิดค่าธรรมเนียมเพื่อเอื้อประโยชน์ระหว่างธนาคาร (Spaghetti Bowl Effect) ดังนั้น ธปท.จึงต้องหาวิธีแก้ไขเพื่อให้การโอนเงินกลายเป็นบริการพื้นฐาน และต่อยอดให้เศรษฐกิจไทยกลายเป็นเศรษฐกิจแบบดิจิทัลได้ต่อไป
นอกจากนี้ ธปท.ประกาศชัดเจนว่าไม่มีนโยบายการแบนเทคโนโลยีชำระเงินต่างประเทศ อย่างเช่นกรณี WeChat Pay ในอดีตที่จับมือกับภาคเอกชนเพื่อให้บริการลูกค้าต่างชาติในไทย โดยชี้ว่าประเทศไทยไม่สามารถแบนเทคโนโลยีได้ แต่หากผู้ให้บริการอยากรักษาอธิปไตยในการโอนเงินในประเทศก็จะต้องทำให้ดีกว่าการโอนเงินของผู้ประกอบการต่างประเทศ รวมถึงการทำระบบใหม่ต้องมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่โปร่งใส ห้ามมี Spaghetti Bowl ที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนอิเล็กทรอนิกส์ และจะต้องเป็นระบบที่เปิดกว้างที่ผู้ให้บริการรายอื่นสามารถเข้ามาเชื่อมต่อได้ เช่น e-Wallet เป็นต้น
“เราใช้เวลาพูดคุยกับสถาบันการเงินค่อนข้างนาน แม้เทคโนโลยีจะพร้อม แต่ผลประโยชน์ค่าธรรมเนียมเป็นสิ่งที่ทำให้สมดุลยาก ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนวิธีคิดของธนาคารที่จะต้องตั้งเป้าให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด และทำให้สถาบันการเงินเข้าใจว่าตนเองจะได้ผลประโยชน์ระยะยาว เช่น ต้นทุนการให้บริการการเงินแบบเดิมที่จะลดลง เป็นต้น” นายวิรไท กล่าว
ทั้งนี้ ล่าสุดพร้อมเพย์มียอดลงทะเบียนสูงถึง 150 ล้านบัญชี และมียอดการใช้งานประมาณ 20 ล้านรายการ/วัน ซึ่งผลการตอบรับดังกล่าวใช้ระยะเวลาเพียง 3 ปีเศษ